Skip to main content

วงเล่าริมฝั่งโขง (๑)

คอลัมน์/ชุมชน

บ่อยครั้งที่ได้พาตัวเองแทรกกายเข้าไปอยู่ในวงเล่าหลายๆ วง และไม่บ่อยครั้งนักที่วงเล่าจะไม่สนุก ครั้งนี้ก็เช่นกัน วงเล่าวงนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนเลยพระเถรเณรชีฉันเพลไปไม่มาก วงเล่าวงนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านริมฝั่งโขงแห่งหนึ่งอันไม่สามารถระบุชื่อหมู่บ้าน จำนวนคนผู้ร่วมสนทนาในวงเล่าได้ เพราะอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติได้ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าชาติใด (ฮา)

วงเล่าวงนี้เกิดขึ้นหลังการประชุมอย่างเป็นทางการจบเสร็จสิ้นลง วงเล่าเกิดขึ้นพร้อมกับวงข้าว ผู้สันทัดกรณีบางคนเคยบอกว่า การคุยงานที่ได้ผลดีมักเกิดขึ้นตอนกินข้าว เพราะตอนกินข้าวทุกคนสามารถพูดได้เต็มที่พร้อมกับการกินที่เอร็ดอร่อย (ขออภัยหากใช้คำไม่สุภาพ และไม่รักษามารยาทในการกิน) แต่ก็นั้นแหละ มันก็เป็นเพียงคำกล่าวเท่านั้น เอาเข้าจริงๆ แล้วในวงข้าวใครเล่าจะอยากพูด (ถ้าอาหารอร่อย) เพราะเราถูกสอนมาว่าห้ามพูดในเวลาที่อาหารอยู่ในปาก แต่หากว่าอยากจะพูดจริงๆ ก็โยนมารยาทข้อนี้ทิ้งไป แล้วก็ค่อยๆ ขยับริมฝีปากเอยวจีใดวจีหนึ่งออกมา


ก็อย่างที่กล่าวมา วงเล่าที่จะเล่าถึงต่อไปนี้ก็คงเป็นอย่างหลัง เพราะแต่ละคนได้ทิ้งมารยาทลงแม่น้ำโขงไปหมด ทุกคนจึงพูดอย่างเต็มที่ และพูดในเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูดโดยไม่ต้องป้องปากระซิบ คิดดูเถอะว่าเรื่องที่เราอยากจะพูด และได้พูดเต็มปากเต็มคำโดยที่ไม่ต้องป้องปากกระซิบมันจะออกรสออกชาติขนาดไหน


ผู้พูดคนที่ ๑ หลังเคี้ยวข้าวเหนียวกับลาบเนื้อที่เลือดยังแดงอยู่เรียบร้อย (ขอโทษถ้าหากว่ามันน่ากลัวสำหรับคนไม่กินเนื้อ) เขาก็พูดออกมาว่า


"วันลงประชามตินี้ใครจะไปลงบ้าง"


หลายคนเงียบได้แต่แหงนหน้าขึ้นมองผู้พูด แต่บรรยากาศของความเงียบก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะมีอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า


"ใครอยากไปก็ไป ผมคนหนึ่งล่ะไม่ไป รัฐธรรมนูญคืออะไร มันดีไม่ดีตรงไหน เรารับแล้วเราได้อะไร เราไม่รับแล้วเราได้อะไร รัฐธรรมนูญนี่มันเป็นราคาเหมือนข้าวโพดไหม เรายังไม่เข้าใจเลย ทั้งที่เรายังไม่เข้าใจแล้วเราจะตัดสินใจได้ยังว่าจะรับ-ไม่รับ เห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ"


"นั้นแหละ ผมก็ว่าจะไม่ไป เพราะเราก็มีธุระของเรา ไปก็เสียเวลา ได้มามันก็เหมือนเดิมนั้นแหละ อย่างมากคนบ้านนอกชายขอบชายแดนอย่างเรา พวกผู้ใหญ่ (อาจไม่เกี่ยวกับกำนัน) ก็คงได้ดูการ์ตูนผู้ใหญ่ทางทีวีกันต่อไป พอๆ กับพวกเด็กๆ มันก็ได้ดูการ์ตูนของเด็กต่อไป ชาวบ้านอย่างเราไม่รู้หรอกว่ามาตราที่เขาว่าแต่ละมาตรามันเกี่ยวกับเรายังไง"


หลังพูดจบเขาก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเอาข้าวพอดีคำเข้าสู่ปากและเคี้ยวอย่างอร่อย ดูเหมือนว่าวงข้าวที่ขาดการเล่าจะเงียบเหงา แต่ก็มีพระเอกขี่ม้าขาวสมัยใหม่มาทำลายความเงียบอีกครั้ง


"พูดอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกหรอก ถึงเราไม่รู้เราก็ไปเถอะ ไปดูไว้ว่าเขากากบาทยังไง มันจะได้ชินเอาไว้กากบาท สส.สมัยหน้าไง ถือว่าไปซ้อมมือแล้วกัน อย่าไปคิดอะไรมาก ถึงมันจะไม่ผ่าน ถ้าเขา (เขาในวงเล่าวงนี้ไม่ได้หมายถึงผู้ใดผู้หนึ่ง) จะเอายังไงเขาก็เอา มันจะผ่านไม่ผ่าน เขาคงไม่สนหรอก ถ้ามันไม่ผ่าน เขาก็บอกว่า พวกเรา (คงจะหลายคนจึงใช้คำว่า ‘พวก’) ได้ให้ประชาชนออกเสียงประชามติแล้วนะถือว่ารับรู้กันแล้ว แต่ต่อไปเราก็จะเอาอันที่ไม่ผ่านนี้แหละมาปรับแก้แล้วค่อยประกาศใช้ พวกเรา (นี่ก็หลายคนเหมือนกัน) ก็ไปเถอะมันจะได้เป็นประชามติ"


(ขออภัยอีกครั้งหนึ่ง ต่อไปนี้เป็นบทสนทนาในวงเล่าล้วนๆ ไม่มีทั้งประธาน กิริยา และกรรม)


"ไปนะไปอยู่ แต่บางคนก็จะได้ไปเฝ้าหีบบัตรด้วยนี่สิเสียเวลาทำมาหากิน หักข้าวโพดทั้งวันยังได้หลายบาทอยู่นะ ฮะ ฮะ ฮะ!"


"เมื่อวานผมเพิ่งได้คุยกับรั้วของชาติมา ตอนนี้เขาเริ่มเกลียดทักษิณกันแล้วนะ แต่ก่อนไม่เห็นพูดเลย ตอนนี้ไม่ได้ เริ่มบอกเราแล้วว่าทักษิณไม่ดียังไงบ้าง"


"ผมว่าเขาก็ตามน้ำนั้นแหละ นายสั่งมาไม่พูดก็ไม่ได้ แต่อะไรกันนักหนาก็ไม่รู้กับทักษิณนี่ รัฐบาลก็เอาแต่จะยึดทรัพย์อยู่นั้นแหละ ตอนนี้ไม่รู้ว่ายึดได้กี่บาทแล้ว ยึดแล้วเอาไปไหนก็ไม่รู้ ปัญหาของชาวบ้านมีตั้งเยอะไม่แก้ ไปตามแก้แต่ปัญหาของคนๆ เดียว นี่เป็นรัฐบาลจะครบปีแล้วนะ"


"อย่าไปว่าแกเลย ผู้นำน่ะแกทำอะไรไม่ได้หรอก ไม่ใช่สิ แกทำได้ แต่แกไม่ถนัดที่จะทำ ตอนนี้แกเลยทำตามคำสั่งอย่างเดียวไง ประชาชนที่ไหนอยากให้ไปแกก็ไป บางทีไปรับข้อเสนอมาก็กลับมาสั่งการ แต่พอสั่งการไปบางทีก็ไม่มีคนทำ มันก็น่าเหนื่อยอยู่นะเป็นผู้นำนี่"


"แต่ผมว่าจริงนะ ปัญหามีตั้งหลายอย่างไม่แก้ ตอนนี้ผลไม้ราคาตก ยางราคาตกลงมา เงินบาทราคาต่ำ อะไรอีกสารพันไม่เห็นได้ทำอะไรที่จะเป็นตัวบอกเหตุได้เลยว่า ปัญหาจะได้รับการแก้ไข"


"ผมได้ยินทีวิมันว่า พวกเราต้องอดทน พอผ่านช่วงนี้ไปทุกอย่างก็จะดีขึ้น ผมเห็นมันพูดมากี่เดือนแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น เราต้งอดทนกันอีกกี่ปี ต้องอดทนจนตายหรือเปล่าก็ไม่รู้"


"ข้าวโพดราคาดีนะปีนี้"


"นี่ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกปีก็จะดีมากเลย ปีนี้ข้าวโพดเป็นราคากลับบ้านดึกๆ เมียก็ไม่ด่า เพราะเรามีเงินให้เขา บางคนปีนี้ไม่แน่อาจได้เป็นพ่อเลี้ยง"


"ไม่หรอก ก็พออยู่พอกินกันไปนั้นแหละ ผมปลูกข้าวโพด ปลูกข้าว ปลูกยาสูบนี่หวังรวยไม่ได้หรอก เราเอาแค่พออยู่พอกิน คนที่บ้านไม่เดือดร้อนก็พอใจแล้ว แต่ก็อย่างว่านั้นแหละ สินค้าเกษตรพวกนี้ ราคามันไม่เคยแน่นอนเลย เวลาใดอยากได้แพง พ่อค้ามันก็มาบอกว่าจะซื้อแพง พอเวลาใดอยากได้ถูก มันก็มาบอก ตอนจะซื้อถูกจะมาบอกทำไมก็ไม่รู้เจ็บใจเปล่าๆ เวลาใดหนอที่คนปลูกข้าวโพดอย่างพวกเราจะกำหนดราคาขายข้าวโพดได้เอง"


"แล้วตกลงว่ารัฐธรรมนูญใหม่นี่มันดีไม่ดียังไง"


"ผมเห็นในทีวี เขาว่ามันดีหลายข้อนะ แต่ก็นั้นแหละ เขาไม่บอกเราหรอกว่ามีข้อไม่ดี ใครจะบอก พอบอกไปว่าไม่ดีก็ไม่มีใครไปลงมตินะสิ"


"ทีวีมันก็พูดแต่เรื่องดีนั้นแหละ เรื่องไม่ดีมันไม่พูดหรอก"


"แล้วตกลงว่าวันที่ ๑๙ สิงหานี่ พวกเราจะไปลงประชามติกันไหม"


"ไปอยู่ แต่จะเห็นชอบไม่เห็นชอบนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความคิดใครความคิดมันห้ามมาบังคับกัน"


"แต่ผมว่าจะกากบาทช่องไม่เห็นชอบนะ"


หลังคนสุดท้ายพูดจบ ทุกคนในวงเล่าริมฝั่งโขงก็หัวเราะขึ้นมาด้วยใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน