Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 8

คอลัมน์/ชุมชน

8 มิถุนายน

ผ่านเมื่อวานมาได้อย่างสะบักสะบอม เนื่องจากไกด์ของฉันขาดช่วง ท่านสะยาดอไม่อยู่ไม่ได้สอบอารมณ์ ตอนค่ำวันที่ 6 นั่งสมาธิในห้องนอน จิตรวมพรึ่บ ทุกอย่างเงียบสงัดไปหมด ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ ได้แต่คอยดูจนมันถอยออกมา แล้วอีกอย่างที่เกิดขึ้น คือการถอนรากถอนโคนเรื่องความรัก

เมื่อตอนเย็นของวันที่ 6 ฉันเหนื่อยแทบขาดใจ มานอนงีบตอนเย็น จิตเคลิ้มๆ เพราะก่อนนอนหลับ จิตมันทบทวนเรื่องอารมณ์ผูกพันอีกหน พอตื่นขึ้นมา จิตมันครางออกมาดัง "ฮึ๊ด" แล้วว่า "จะไปไหนก็ไปเถอะคุณ" เท่านั้นแหละ เบาหวิวเลย เรียกว่าล้างเช็ดจริงๆ ตอนนี้เวลาเขม่นตาข้างซ้าย จิตฉันไม่ได้วิ่งไปที่เขาอีก ถึงแว่บไปก็ไม่ปรุงแต่ง


เมื่อกี้มีพระมาเรียกคนที่ไม่สบายให้ไปพบหมอที่ห้องพยาบาล ดีที่ฉันออกจากสมาธิแล้ว และผ่านเวทนามาได้อีกหนหนึ่ง เมื่อพบกับคุณหมอ (แพทย์หญิง-อาสาสมัคร) หมอถามว่ามีอาการเจ็บป่วยหรือเปล่า ฉันว่าเปล่า แต่ฉันกลัว หมอถามว่ากลัวอะไร ฉันว่ากลัวมาเลเรีย เพราะฉันเคยเป็นสมัยเด็กๆ (อันที่จริงฉันกลัวโรคเท้าช้างมากกว่า เพราะระบาดเยอะที่พม่า) หมอหัวเราะ พลางบอกว่า ที่นี่เมืองย่างกุ้ง ไม่เคยมีใครเป็นไข้มาเลเรียนานแล้ว ฉันจึงรู้สึกละอายแก่ใจ เหมือนไปล่วงละเมิดดูถูกบ้านเมืองเขา ว่าล้าหลัง แฮ่ะๆๆ ขอประทานอภัย


เพื่อนเอ๋ย การพบเจอกับใครๆ ที่นี่ โดยเฉพาะแม่ชีไทย ที่ท่านอุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามฟ้ามาอยู่ที่นี่นานสิบกว่าปีแล้ว ได้บอกอะไรบางอย่างให้กับฉัน เช่น ท่านเคยเล่าว่า เมื่อก่อนไปร่ำเรียนวิชาที่สำนักทางเหนือของพม่า ต้องเรียนคัมภีร์พม่าโบราณและแปลเป็นภาษาอังกฤษกับภาษาไทย จึงเป็นงานที่หนักมาก ร่างกายไม่ค่อยได้พักผ่อน แต่ในจิตใจอิ่มเอิบ หากแต่ร่างกายที่เสจ็บป่วยง่าย ทนไม่ไหวจนกระทั่งเป็นไข้หนักนอนซมใกล้จะตาย ข่าวรู้มาถึงท่านเชมเย่สะยาดอ ท่านจึง ให้คนไปรับมาอยู่ที่นี่ แล้วดูแลรักษาจนท่านหายป่วย ท่านก็เลยอยู่ประจำที่นี่ นานๆ จะกลับเมืองไทยสักที


น่าแปลกนัก ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่บุกบั่นมาแสวงหาทรัพย์ด้านในถึงบ้านเมืองนี้ มาได้อย่างไรกัน ฉันถามท่าน...


ท่านเล่าว่า อาจารย์ท่านเป็นพระพม่า อยู่ที่เมืองชลบุรี ปัจจุบันท่านชรามากแล้ว แม่ชีศรัทธาในปฎิปทาของท่านนัก ตอนที่เป็นฆราวาส ท่านทำงานในบริษัทใหญ่ ทุกวันศุกร์ท่านจะนั่งรถประจำทางมาที่สำนักปฏิบัติที่ชลบุรี ร่ำเรียนฝึกฝนการปฎิบัติธรรมกับท่านอาจารย์อย่างลึกซึ้ง จนกระทั่ง ท่านอาจารย์บอกว่า ถ้าอยากเรียนต่อให้จะแจ้ง ต้องมาหาครูบาอาจารย์ที่เมืองของท่าน ฟังแล้วช่างปลื้มนัก ในศรัทธาของแม่ชี แม่ชีจึงตัดสินใจเดินทางมาพม่า โดยที่ไม่ได้บอกทางบ้าน ซึ่งฉันเล่าให้เธอฟังแล้วในจดหมายฉบับแรกๆ


สำหรับฉัน การมาที่นี่และได้รับการชี้แนะหลายอย่างจากแม่ชี นับว่าโชคดีมาก อย่างเช่นวันแรกที่มาถึง...เมื่อเจอแม่ชี ท่านพูดถึงเรื่องอ่อนน้อมถ่อมตนแล้วมองหน้าฉัน แค่นั้นแหละ ฉันรู้สึกเหมือนโดนเฆี่ยนทันที ครั้งที่สอง ในวันที่ฉันเอาขนมของเธอไปถวาย แม่ชีทำให้ฉันรู้จักกับสะยาดอตองปุ๊ลุ ครั้งที่สาม วันที่ฉันได้รู้จักกับวิลาสินีพม่า แม่ชีถามฉันว่า "กำหนดอยากด้วยหรือเปล่า" ฉันบอกว่า "กำหนดค่ะ" ท่านว่า "นั่นแหละตัวต้นเหตุ"


วันก่อนท่านสะยาดอถามฉันว่า รู้จักตัวอยากหรือเปล่า ฉันบอกว่าฉันเห็นมันแล้ว เพราะฉันเห็นมันจริงๆ โดยเฉพาะในยามที่จิตมันดิ้นรนนึกถึงรสชาติกาแฟ และครั้งหนึ่ง ฉันยกกาแฟขึ้นดื่ม....มันคือกาแฟที่ไร้รสชาติจนสิ้นเชิง ไร้รสชาติจนรู้ว่า การปรุงแต่งด้วยลิ้นเป็นเช่นนี้นี่เอง และแล้ว...จิบต่อมารสชาติกาแฟก็กลับมาเป็นปกติ แต่ข้างในของฉันกับกาแฟ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


อีกเรื่องหนึ่ง แม่ชีบอกว่าทุกคนที่เคยปฎิบัติล้วนผ่านการร้องไห้มาแล้วทั้งนั้น แม้แต่ท่านอาจารย์ใหญ่ทั้งหลาย เพราะเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เวลานั้นมาถึง..ที่ท่านพูดเรื่องนี้ เนื่องจากวันนั้น ฉันเข้าไปที่ห้องแม่ชี ขณะที่ก้มลงกราบรูปสะยาดอตองปุ๊ลุ น้ำตามันไหลออกมาเอง แม่ชีถามว่าร้องไห้ทำไม ฉันว่าไม่รู้ สับสนมั้ง แม่ชีว่าร้องไห้เพราะปิติ หรือหลงโลกล่ะ ตอนนี้มันทั้งปิติและสับสนแปลกๆ แต่วันนี้...ก่อนที่จะเห็นอนัตตา น้ำตาไหลอาบแก้มซะเฉยๆ งั้นแหละ มันไหลโดยไม่มีเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น และเมื่อมันจะหยุดมันหยุดกึก (หรือต้องร้องไห้ อีกนานหนอนี่ จึงจะรอดพ้น)


ฉันมีเรื่องสารภาพปาบกับเธอ (อีกแล้ว) มีโยคีญี่ปุ่นที่น่าสงสารคนหนึ่ง อายุประมาณ 50 ปี ทุกวันเธอจะนั่งสับปะหงก และเมื่อออกจากสมาธิแล้ว เธอจะทำเสียงดังก๊อกแก๊กๆ ครั้งหนึ่งขณะที่ฉันกำลังดูเวทนา ฉันได้ยินเสียงเธอตบยุงดังแปะ เท่านั้นแหละจิตฉันขุ่นมัวทันที รำคาญเพิ่มขึ้น จากนั้นก็ได้แต่ขอโทษเธอในใจ ที่ไปรู้สึกอย่างนั้นเข้า แต่ถอยจิตตัวนั้นไม่ได้ มันยังคงความไม่ชอบใจอยู่อย่างนั้น

แต่ว่าวันนี้กุศลเป็นของเธอ เพราะขณะกำลังเพ่งความเจ็บปวด เธอก็ตบยุงดังเพี๊ยะ อื้อหื้อ...ฉัน มาเลย ตัวไม่ชอบใจ "ทำไมไม่รู้จักบาปบุญหนอ" ใจมันคิดอย่างนี้ทันที และแล้วอีกใจหนึ่งมันก็ว่า จะไปบังคับเขาได้อย่างไร ก็เขาเป็นอย่างนั้น เออนะ...อีกใจก็ว่า แล้วมันก็คิดไปถึงอาจารย์....... (อาจารย์ทางโลกของฉันคนนั้นไง) ตอนที่แกโกรธฉันหัวสั่นว่า ไม่รู้จักแยกแยะงานให้ละเอียด แต่แกเองก็ไม่ถี่ถ้วน แกโกรธมากจนฉันสงสาร เพราะคิดว่าอายุขนาดนี้แล้ว ไม่น่าอารมณ์เสียบ่อยๆ ขนาดนี้เลย เสียดายชีวิต อีกใจก็บอกว่า นั่นแหละ คนที่ชอบบังคับคนอื่นให้ได้ดั่งใจตนเอง เฮ้อ....มาถึงบางอ้อ ตัวที่เป็นอนัตตา ทางที่ต้องเลือกเดิน ฉันจึงเข้าใจเวทนาว่ามันจะบังคับให้หายให้เกิดไม่ได้ จึงแค่ดูด้วยใจที่เป็นกลาง เนื่องจากให้อภัยคุณป้า และอาจารย์...ไปแล้ว ใจเป็นกลางมีอยู่จริงๆ เลยเฝ้าดูการเกิดดับของเวทนาได้นานขึ้น แต่ก็ไม่นานนัก เมื่อจี้ลงไปอีก ปวดจนทนไม่ไหว ต้องถอนสมาธิออกมา รวมแล้วหนนี้ 50 นาที


เมื่อคืนฉันนอนหลับเป็นตาย ตื่นมาอีกทีได้ยินเสียงแม่ชีเวียดนามห้องข้างๆ ลุกขึ้นทำเสียงก๊อกแก๊ก รู้ว่าเป็นตีสอง เพราะเธอจะไปปฎิบัติเร็ว กลับช้ากว่าฉัน ส่วนฉันทำตามที่เขากำหนดคือตีสาม ตื่นมาพร้อมกับเสียง ดัง ตึ่ง ตึง ตึ๊งๆๆ ที่นี่ไม่ได้ใช้ระฆังปลุกแบบบ้านเรานะคะ


ตอนนี้ฉันไม่รู้หรอกว่า มีอะไรรออยู่ข้างหน้าบ้าง เพราะปัญหาที่แบกเอาไว้ฉันโยนทิ้งหมดแล้ว ไม่มีเรื่องผูกพันข้ามภพข้ามชาตินั้นอีก ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือใคร ก็ไม่แว่บเข้ามารบกวนในจิต ในความฝันอีก แต่ทุกครั้งที่กราบพระ ฉันขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองฉันด้วย ฉันกราบขอบารมีท่านตองปุ๊ลุ นำทางฉันด้วย อย่างน้อย การที่โยคีญี่ปุ่นตบยุงดังเพี๊ยะสองหน ฉันได้บทเรียนที่ต่างกันทั้งสองครั้ง ทำให้ฉันเชื่อมั่นในหนทางมากขึ้น ฟังดูแล้วเซอๆ พิลึกๆ ตามประสาฉัน แต่ฉันยึดมั่นในผู้นำทาง และกรรมผูกพัน หรืออะไรสักอย่างที่นำทางฉันมาที่นี่ เพราะฉันเจอบางอย่างที่ในห้องนอน


แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง ถึงความพิลึกกึกกือ ของเรื่องราว ที่ผูกโยงชีวิตฉันมาช้านาน ขนาดข้ามภพข้ามชาติทีเดียว


และนั่นคือคำตอบว่าทำไมฉันต้องมาที่นี่ เรื่องนี้จะว่าสำคัญก็ได้ เมื่อยังไม่รู้ แต่เมื่อรู้แล้ว ก็เป็นธรรมดา เพียงแต่ย้ำให้ฉันระลึกอยู่เสมอว่า "กรรมเก่ากรรมใหม่" มีอยู่จริงๆ และเราจะวางท่าทีต่อมันอย่างไร เท่านั้นเอง


ฉันคนเดิม