Skip to main content

บัวสีเทา: เที่ยวกับเด็กพังก์

คอลัมน์/ชุมชน

ที่ร้านเหล้าตองร้านเดิม

ผม เต้ย ไก่ และพี่เหน่ง มาเจอกันโดยไม่ได้นัดหมาย


"แกมาทำไรกันวะ" พี่เหน่งในเสื้อผ้าแบบเดิมๆ ทักทายเด็กๆ อย่างพวกเราก่อน


"อ๋อ พอดีอาทิตย์หน้ามีคอนเสิร์ตพังก์ เลยจะชวนเพื่อนๆ ไป" เต้ยตอบ แล้วชี้มาทางผมก่อนจะบอกผมว่า "ถ้าอยากไปจะชวนไป"


ผมมองหน้าพี่เหน่ง ยิ้มตอบ แล้วหันกลับมาที่เต้ย


ผมพยักหน้า ตอบตกลงรับคำเชิญนั้นโดยไม่รั้งรอ



โปสเตอร์คอนเสิร์ตเด็กพังก์


ที่ร้านเหล้าแถวๆ ริมแม่น้ำปิง


ผมพาร่างของตัวเองกับเต้ยมาที่ร้าน เพื่อมาเอาโปสเตอร์คอนเสิร์ตพังก์ที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่เดือน


เต้ยแนะนำให้ผมรู้จักกับ "เล็ก", เด็กหนุ่มวัย 18 ปีกว่าๆ เขาเรียนสถาปัตย์และชอบวาดรูป จึงได้เรียนช่างสถาปัตยกรรมตามสาขาที่ตนชอบดั่งใจ เต้ยบอกว่าเวลาเล็กไปโรงเรียนก็จะแต่งตัวธรรมดาทั่วๆ ไป เพื่อนคนอื่นๆ ก็มองเฉย ๆ เพราะไม่ได้ทำตัวเป็นพังก์


"ก่อนที่จะเข้ามาอยู่กลุ่มพังก์ เล็กมันเคยเป็นเด็กสเก็ตมาก่อน เมื่อก่อนมันเคยขี่จักรยานเล่นกับเพื่อน เล่นผาดโผนไปมา ก่อนที่จะมาอยู่กลุ่มพังก์โดยเพื่อนที่เป็นพังก์ชวนมาแล้วมันก็ไปร่วมงานคอนเสิร์ตพังก์ร็อค เป็นคอนเสิร์ตเล็กๆ จัดกันเอง มีการขายบัตรคอนเสิร์ตให้ เล็กก็ไปเที่ยวคอนเสิร์ตครั้งนั้น แล้วมันชอบขึ้นมา" เต้ยเล่าเรื่องราวของเล็กให้ผมฟัง ก่อนที่เล็กจะเข้ามาทักพวกเราที่อยู่หน้าร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เพื่อมาดูโปสเตอร์คอนเสิร์ตพังก์



เล็กเล่าเรื่องราวของเขาว่า


อยู่บ้านกับพ่อ แม่และน้องสาว พ่อแม่รู้และยอมรับได้ว่าเป็นพังก์ ไม่เคยด่า คนรอบข้างในชุมชน ชอบมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อก่อนนี้เคยใช้ยาบ้ากับกัญชา เพราะมีเพื่อนชวน



"อยู่ในสังคมเมื่อก่อนยาบ้าหาได้ง่าย ยาบ้าสมัยนั้นเม็ดหนึ่งประมาณ 150 บาท ส่วนกัญชาจะมีอุปกรณ์สูบ มี 2 วิธี วิธีแรกคือใส่โจ๋ คือกระบอกไม้ไผ่แล้วเจาะรูจึงดูด อีกวิธีหนึ่งคือใส่บุหรี่ธรรมดา ยัดใส่บุหรี่ ซึ่งเคยเล่นเมื่อก่อนแล้วติดอยู่ช่วงหนึ่ง"


ช่วงตอนเรียน ม.4 เล็กย้อนอดีตให้ฟังว่า ไม่ไปเรียนเลยเพราะติดยา ที่เลิกเพราะอยากเรียนให้จบมากกว่า ไม่อยากยุ่งกับเรื่องพวกนี้ คือ เลิกเอง โดยไม่ได้ไปบำบัดเพราะไม่ได้ติดมาก


"ตอนใช้ยานั้น แฟน หรือครอบครัว ไม่มีส่วนที่ทำให้ผมเข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด ครอบครัวพ่อแม่ค่อนข้างดุ "


แม้ว่าเล็กจะมีแฟนมาแล้วหลายคนแต่เขาก็ใช้ถุงยางอนามัยตลอด เพราะถ้าไม่ใช้อาจจะติดโรค


"ทุกวันนี้การใช้ถุงยางอนามัยจะใช้เป็นบางคน กับคนที่ไม่ไว้ใจเช่น ผู้หญิงทั่ว ๆ ไปก็ต้องใช้ กับคนที่ไว้ใจคือแฟนก็ไม่ได้ใช้ ส่วนปัญหาส่วนตัวเรื่องพังก์ ก็มีบางคนทะเลาะกับแฟนบ้าง ก็มาถามว่าจะทำยังไง ส่วนของเล็กถ้าเวลามีปัญหาก็จะพูดกับเพื่อนมากกว่า ส่วนใหญ่จะไม่พูดกับพ่อแม่ เพราะคิดไม่เหมือนกับคนรุ่นเดียวกัน เพื่อนจะช่วยแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องเงินก็จะมีปัญหาเรื่อยๆ ก็ต้องขอพ่อแม่เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ทำงาน เวลาขอ พ่อแม่ก็จะให้ และพ่อแม่ก็ไม่ได้ขัดขวางที่เราเป็นพังก์"


เล็กเป็นคนร่างใหญ่ สวนทางกับชื่อ ท่าทางต่างๆ ของเขาเหมาะสำหรับการเป็นพนักงานต้อนรับของโรงแรมมาก เพราะหน้าตาที่ดูดี และท่าทาง บุคลิกที่เป็นกันเอง มีความเป็นมิตรกับคนรอบข้าง ทำให้เขาเป็นที่รู้จักของคนอื่นๆ อีกหลายคน และนอกจากนี้บุคลิกพูดจาติดตลกของเขายังทำให้เพื่อนๆ หลายคนชอบคุยกับเขาเสมอ


"ไอ้เล็ก มันคารมดี หน้าตาก็พอใช้ได้ แต่เสียดาย เวลามันเมามันจะเละเทะ ไม่ค่อยมีสติ บางทีอยู่เฉยๆ มันก็ร้องไห้ พวกเราคิดว่ามันไม่สมประกอบ หรือไม่ก็เป็นโรคจิต" เต้ยเย้ยเพื่อนหนุ่มร่างใหญ่


"ดีแล้วๆ ก็นึกดูดิ เจอกันไม่ถึงวัน มันเล่าเรื่องมันเกือบหมดแล้วนะเนี๊ย" ผมตอบเต้ยเบาๆ ก่อนที่จะหยิบโปสเตอร์คอนเสิร์ตเด็กพังก์จากหน้าบาร์ของร้าน


"เฮ้ยพี่ ไปให้ได้นะ ชวนพี่บัวไปด้วย เพื่อนๆ อยากเจอ" เล็กยกแก้วทำท่าชนและตะโกนบอกผม


ฟังเพลงแรงแหกคอกที่คอนเสิร์ตพังก์


ผม พี่บัว เต้ย และเพื่อนๆ อีก 10 คน มาถึงสถานที่จัดคอนเสิร์ตก่อนเวลาจะเริ่มเกือบชั่วโมง



ด้านหน้าที่ตกแต่งไปด้วยโปสเตอร์แผ่นใหญ่ สีสเปรย์ ฉีดฉาบเป็นลวดลายต่างๆ เป็นคำย่อ ภาษา รูปภาพทั้งน่ารักและน่าเกลียด สลับกันไปมาทั่วบริเวณ


วัยรุ่นหญิง ชายหลายร้อยคนที่อยู่หน้าบริเวณงาน - แนวการแต่งตัวของกลุ่มเท่าที่กวาดสายตาได้ คือ มีรองเท้าบู๊ท กางเกงขาเดฟ ทรงผมแตกต่างกัน ไม่ค่อยเหมือนใครมาก ดูเป็นคนอิสระ อยากทำอะไรก็ทำ บางคนก็แต่ง บางคนก็ไม่แต่งแต่คนส่วนมากจะรู้จักกันหมด พังก์มีทั้งเจาะจมูก เจาะลิ้น เจาะหู


"พี่ๆ เขาต้องเจาะหู แต่งตัว แบบนี้มั้ยถึงจะเป็นพังก์น่ะ" ผมเหลียวหน้าถามพี่บัวที่กำลังยืนคุยกับเพื่อนหญิงอยู่


"พังก์ทุกคนไม่ต้องทำอย่างนี้ก็ได้ พังก์บางคนอยู่ที่ใจรักมากกว่า บางคนยังไม่แต่งตัวแต่อยู่กับพวกพังก์ อยู่ที่ใจรัก และบางคนมีการสักรอยสักรูปแบบต่างๆ" พี่บัวหันมาตอบ ก่อนจะกลับไปพูดกับเพื่อนหญิงต่อ


"เฮ้ยเล็ก หน้าตาดุๆ แบบนี้เค้ามีแบบหมั่นไส้ กวนตีนหรือตีกันม่ะ" ผมหันไปถามทางเล็กที่กำลังจะเดินไปหยิบของที่หน้าประตูทางเข้า


"พี่...เท่าที่ผมอยู่มานะ ในกลุ่มไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกัน มีที่พูดแล้วไม่เข้าหูกัน แต่ไม่คิดอะไรกัน เพราะเป็นคำของพังก์อยู่แล้ว คือไม่เคยพูดไพเราะ ยกตัวอย่างเช่น "ไอ้เหี้ย" "ไอ้สัตว์" "กวนตีน" "หมา" ส่วนมากไม่ตีกันเลย จะคุยกันมากกว่าถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็ไม่ตีแต่ไม่คบกัน แยกไปอยู่อีกกลุ่ม" เล็กอธิบาย ก่อนจะตบท้ายสั้นๆ "ถ้าใครมาพูดกับพี่แบบตะกี้นะ ไม่ต้องถือสา พี่พูดตอบไปเลย เราพังก์เหมือนกัน"


"ยังงงอยู่ แล้วทำไมบางคนแต่งตัวเรียบร้อยล่ะ" ผมฉงน เมื่อมองเห็นวัยรุ่นก๊กหนึ่งที่แต่งตัวดีมาก


"อ๋อ นั้นพวกพังก์สกา" เล็กยิ้มตอบ


"ยังไงอ่ะ" ผมงงเพิ่มขึ้น



"ก็กลุ่มพังก์มีหลายกลุ่ม นับไม่ได้ เช่น พังก์อรัญ พังก์สกา พังก์จักรยาน พังก์อรัญ จะเป็นพวกพังก์รอบนอก บ้านอยู่แถวรอบนอก ส่วนพังก์สกาจะแต่งตัวแบบไม่เหมือนพังก์ธรรมดา จะแต่งตัวดูเรียบร้อยกว่า ความเป็นพังก์มันมีความอิสระเหมือนเป็นการปลดปล่อยจินตนาการของตัวเอง แต่การใช้ชีวิตโดยปกติทั่วไปอาจมีความต่างจากการดำเนินชีวิตแบบพังก์เพราะส่วนหนึ่งการเข้ากลุ่มอยู่กับเพื่อนจะเป็นการทำให้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน แต่งตัวเหมือนกัน ชอบแบบเดียวกัน ทำให้มีความสุขอีกแบบหนึ่ง" เล็กตอบจนความสงสัยของผมเริ่มกระจ่างขึ้น


และยังบอกอีกว่า "ปาร์ตี้บางที่ต้องเสียเงินเข้าไป บางงานแพงสุดประมาณ 50 บาท มีพังก์ พวกเด็กสเก็ต เด็กจักรยานเป็นการรวมตัวกันของแต่ละครั้ง รวมตัวครั้งใหญ่ สนุกด้วยกัน ไม่มีเรื่องยาเสพติด แต่เป็นสูบบุหรี่ ดื่มเหล้ามากกว่าพวกเพื่อนอาจจะมีอยู่บางคนที่ใช้ แต่ไม่มียาบ้ามีแต่กัญชา เพราะพังก์จะไม่ใช้ยาบ้า ใครใช้จะแบรนด์เลย พังก์ส่วนมากชอบสักเป็นรูปดาว รูปหัวกะโหลก แมงมุม มีเยอะ พังก์บางคนก็ไม่ชอบสักก็มี สรุปแล้วความเป็นพังก์มันอยู่ที่ใจน่ะ เอาไว้ไปสนุกด้วยกันแล้วพี่จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร"


คำถามในใจผมยังมีอีกมาก พี่ๆ เพื่อนๆ ที่มาด้วยกันก็พากันคุยสนุกสนานกันทีเดียว ส่วนผมก็เดินไปเดินมา ถือขวดน้ำเปล่าดื่มไป ระหว่างการรอคอยประตูที่กำลังจะเปิดออกในอีกไม่ช้า


เธคที่พวกเรามา เป็นเธคขนาดไม่ใหญ่ ไม่เล็ก จุคนได้หลายร้อยคน ด้านในถูกจัดให้เป็นคอนเสิร์ตพังก์ เมื่อเวลามาถึงช่วงที่ประตูเปิด พวกเราก็ซื้อเหล้า มิกเซอร์เข้าไปกินด้านใน


ผู้คนมากหน้าหลายตากว่าหลายร้อยคน หลายสไตล์ กรูเข้ามาด้านใน เพลงจังหวะดังไปทั่วบริเวณ เสียงลำโพงทำให้ประสาทหูรับรู้ถึงเดซิเบลอันหนักหน่วงของเสียงดนตรีที่จะเกิดขึ้นบนเวทีอีกไม่นาน


เพลงแนวหนักๆ แนวร็อคเน้นจังหวะดนตรี คล้ายๆ กับฮาร์ตคอร์ ดูแล้วเหมือนปาร์ตี้มากกว่า เพราะเป็นคอนเสิร์ตเล็ก ๆ เล่นดนตรีกันและแท็คกันเต้น คือการเต้นแบบหนึ่งแต่เต้นแบบกระแทก


"มาเต้นด้วยกันดิ เดี๋ยวพวกเราสอนเต้น" เต้ยเรียกผมที่กำลังนั่งบนเก้าอี้ไปเต้นด้วย


"เอาเลยๆ ยังไม่ถึงเวลา ยังไม่เมาๆ" ผมยิ้มตอบ


"โอ้ย...มาทำแบบนี้ทำไมกันหนอ สังคมสอพลอ หน้าตาเป็นใหญ่ ผู้คนมากมายมองเพียงภายนอก ชีวิตปลอกหลอกใส่หน้ากากเดิมพัน....." นักร้องหนุ่มร่างใหญ่ ตะโกนเพลงสุดเสียง แต่พอฟังได้ว่าเนื้อหาหมายถึงอะไร ดนตรีเสียงดัง ลำโพงหนักตึกๆ ผู้คนเต้นแท็คไปมา ดูแล้วชวนสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว




ผมฟังเพลงไม่ค่อยออก เต้นแท็คก็ไม่เป็น ได้แต่นั่งดูเพื่อนๆ พี่ๆ เค้าวาดลวดลายกัน


นานๆ ที จะมีคนมาชนแก้วด้วย ก็พอมีเพื่อนคุยด้วยเป็นครั้งคราว


พี่บัว และคนอื่นๆ ยืนเต้นไม่หยุด นานๆ จะกลับมานั่งที่โต๊ะ – ผมก็เป็นเหมือนเด็กเฝ้าโต๊ะไปซะงั้น



บรรยากาศด้านในผับที่จัดปาร์ตี้นี้ เย็นฉ่ำไปด้วยแอร์ที่ปล่อยความเย็นออกมาตลอดคืน เพื่อนๆ พี่ๆ หลายคนเมามีเพียงแต่ผมที่ยังไม่เมาเลยมีโอกาสขับรถไปส่งเพื่อนๆ กลับบ้าน


ตีสามกว่าๆ – คือเวลาที่ต้องจากลาเสียงเพลงแหกคอกดังสนั่นในคืนนี้