Skip to main content

เพราะไม่มีวันได้พบกันอีก

คอลัมน์/ชุมชน

"เราไม่ได้จัดงานใหญ่แบบนี้มานานแล้วเนอะ"
เสียงใครคนหนึ่ง ดังขึ้นแผ่วเบา ราวรำพึงกับตัวเอง หรือไม่ก็กระซิบกับสายฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้าถึงค่ำ

แม้จะอากาศชื้น ใบไม้มีแต่หยดฝน ถนนเฉอะแฉะ เคลื่อนย้ายอะไรลำบาก แต่พิธีทำบุญเพื่อคนที่ล่วงลับยังคงต้องดำเนินต่อไป งานศพของชายวัยกลางคนที่ตั้งเอาไว้ในวัดกลางฤดูฝน มีผู้คนทยอยเข้ามาร่วมทำบุญ ไว้อาลัย บางคนยืนอยู่ตรงนั้นนานๆ หน้ารูปถ่ายที่ประดับด้วยดอกไม้มีสีสันสดใส ฉันได้ยินเสียงหัวเราะหยอกเอินเบาๆ ของแม่เฒ่าวัย 80 ปี นึกว่าเธอพูดอยู่กับใคร สุดท้ายก็รู้ว่าเธอพูดอยู่กับศพ


"หนานมันเป็นคนอารมณ์ดี มันไม่ชอบหรอก ให้มานั่งโศก นั่งเศร้า ถ้ามันอยู่แถวนี้จะได้รู้ไม่ต้องห่วงกังวลอะไร"
แม่เฒ่าออกความเห็นก่อนจะจุดธูป พนมมือ หลับตา ครู่ไม่นานนักก็เดินจากไป มองหาเก้าอี้ว่างภายในศาลาที่จัดเอาไว้ ใครบางคนหยิบหมากพลู เมี่ยง และน้ำดื่มส่งมาให้


"ขอบใจมาก ขอบใจ เหนื่อยกันมากไหม" เธอถามด้วยความห่วงใย คนตอบเป็นผู้หญิงร่างบอบบาง ยกมือขึ้นเช็ดเกล็ดฝนที่ติดอยู่บนเส้นผม


"ก็เหนื่อยเป็นธรรมดา อย่างที่บอก เราไม่ได้จัดงานใหญ่แบบนี้มานานมาก นับสิบปี บางอย่างฉุกละหุกต้องขออภัยด้วย"
"
โอย อย่าพูดแบบนั้น ไม่มีใครถือสากันหรอกงานแบบนี้ ญาติๆ ก็คงมาช่วยกันเต็มที่"

"
ใช่ ทุกคนมีน้ำใจเหลือเกิน"


เธอตอบ พลางกวาดสายตามองไปยังรอบๆ ตัว ทุกอย่างกำลังยุ่งเหยิง อาหารกำลังจัดเตรียมในโรงครัว ข้าวของทยอยไปซื้อหา บางคนกำลังตักน้ำแข็งใส่แก้วน้ำในถาด ร่มที่กางทิ้งไว้ก็มีคนทยอยเก็บ เก้าอี้ไม่พอ เด็กๆ ก็ช่วยกันไปหยิบยืมมาจากวัดอื่น


ฉันอดไม่ได้ที่จะแตะมือไปยังลำแขนผอมบางนั้น แม้เราจะรู้จักกันไม่นานนัก แต่ฉันก็มองเห็น แววตานั้น แสนโศกและอาดูร แต่ไม่มีอะไรเลยที่จะทำให้เธอขาดตกบกพร่องสำหรับภาระผู้จัดงาน จะมีบ้างก็คือการทำอะไรไม่ถูก เธอควรจะไปไหน ซื้ออะไร ควรจะบอกอะไรกับใครอีกบ้าง เงินในกระเป๋าที่สะพายเตรียมเอาไว้ ต้องจ่ายอะไรบ้าง เธอคิด เธอนับ เธอคำนวณ วิ่งบ้าง เดินบ้าง บางครั้งคว้าจักรยานวิ่งไปซื้อของเองที่ตลาด แทบจะลืมไปว่า เช้า สาย บ่าย เย็น ของสองสามวันนั้น เธอทานข้าวไปแล้วกี่มื้อ


"แม่พักก่อนก็ได้นะ"
เด็กหนุ่มเอ่ยกับเธอ ในวัยนักศึกษาที่โตพอจะรับรู้การสูญเสีย เขาเอื้อมมือมาแตะหลังแม่เบาๆ ดวงตาที่ฉันเคยเห็นมาตั้งแต่เขาเป็นเด็ก ในวันนี้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว แววตาที่บอกใครต่อใครว่า นับแต่จากนี้ เขาต้องดูแลแม่และครอบครัวในฐานะลูกชายคนเดียว แต่ทันทีที่เอ่ยว่า "แม่ไม่มีใครแล้ว" ก็มีแต่เสียงคัดค้านจากพี่ชายของแม่

"เราไม่ได้อยู่ไกลกันเลย อย่าพูดแบบนั้น"


เป็นทั้งคำขู่และคำปลอบโยน ทั้งเด็กหนุ่มและหญิงกลางคนนิ่งเงียบ แทนที่แม่จะพักอย่างที่ลูกบอก เธอกลับไล่ให้ลูกไปกินข้าว และเตรียมตัวสำหรับงานบวช


"นัดหลวงพี่ไว้หรือยัง ต้องโกนผมแต่เช้า นอนก็ดึก จะไม่สบายเอา แล้วดูสิ ทำไมไม่ใส่หมวก วิ่งไปมา ผมก็เปียกหมด"
เด็กหนุ่มเสยผม ไม่ตอบอะไร จากนั้นก็โผตัวออกไปประจำที่อยู่หน้าปราสาทโลงศพ จัดแจงคว้าธูป ไม้ขีด จุดเป็นกำๆ แล้วรอยื่น เมื่อเห็นคนทยอยเข้ามาไหว้

"ฝนนี่จะตกไปถึงไหนกันนะ" เสียงคนบ่นเมื่อเพิ่งเดินทางมาถึงพร้อมหยดน้ำบนใบหน้า น้าหญิงรีบโผเข้าไปสวัสดีและต้อนรับแขก น้ำเสียงที่เหลือเพียงน้อยนิด ปลอบใจแขกวัยชราว่า
"ฝนฟ้าห้ามไม่ได้หรอกเนอะ ให้มันตกไปเถิด"
"
อืมๆ ใช่ๆ ถูกแล้ว เราก็บ่นไปอย่างนั้น ก็เหมือนชีวิตคนเรา จะมาจะไป ห้ามกันไม่ได้ อย่าไปทุกข์โศกให้มากนักนะ"


"ค่ะ ไม่ได้ทุกข์อะไร คิดเสียว่าพี่เขาไปดีแล้ว"
เธอพูดซ้ำอยู่อย่างนั้น นับสิบครั้ง เมื่อใครสักคนจะเอ่ยถาม ปลอบใจ หรือกระทั่งสั่งสอน ใบหน้าที่เงียบขรึมยังแต้มรอยยิ้มด้วยซ้ำ คงไม่แปลกอะไรหากเธอจะผ่านการร้องไห้มาหลายชั่วโมง หรือ หลายคืน เพียงเพื่อจะอดทนสำหรับวันแห่งพิธีนี้ ไม่มีใครรู้ได้ว่าชีวิตในวันต่อไปเธอจะทุกข์และสุขเพียงใด


กลางฤดูฝนของวันนั้น เธอทำให้ฉันได้เห็น เห็นระยะเวลาของการร่วมชีวิตที่มากพอให้คิดถึง และทำในสิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้ที่ล่วงลับ มองเห็นการเป็นแม่ที่ดีพอจะสอนให้ลูกเข้มแข็งโดยไม่ต้องเอ่ยแม้แต่สักคำพูด มองเห็นอดีตที่เธอได้ภาคภูมิใจกับวันนี้ เมื่อใครๆ บอกต่อหน้ารูปถ่ายของสามีว่า


"หนานเป็นคนดี ทำกุศลเพื่อชุมชนมาโดยตลอด ต้องไปดีและมีความสุข ส่วนคนที่ยังอยู่ไม่ต้องห่วง ไม่มีใครทอดทิ้งกันแน่นอน"
ฉันเห็นเธอยิ้ม ยิ้มทั้งน้ำตา ยิ้มที่มีค่าและสวยงามที่สุด ปะปนไปกับหยาดฝนที่ตกกระทบผิวแก้ม


"มันก็แค่เหนื่อยไม่กี่วันหรอก"
เธอว่า และฉันก็เชื่ออย่างนั้น หากพิธีเสร็จสิ้นแล้ว เธอคงจะได้กลับไปนอนบ้าน พักผ่อน ตื่นมาสู่วันใหม่เพื่อยิ้มให้กับโลกใบเดิม เธอจะยังต้องหุงข้าวแต่เช้า เก็บผักสะอาดที่ปลูกไว้เองหลังบ้านมาเตรียมต้มแกง รอวันเสาร์อาทิตย์ให้ลูกกลับบ้าน เพื่อทำเมนูอาหารพิเศษ และทุกๆ วัน เธอยังคงไปทำงานที่ตลาดอย่างที่เคยทำมาตลอดสามสิบกว่าปี


บ้านก็ยังคงเป็นบ้านเสมอ หากเธอยังอยู่ตรงนั้น บ้านที่มีความหมายและเต็มไปด้วยชีวิต และแน่นอนที่สุด เป็นบ้านที่สามีของเธอคงจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาจากการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย


นั่งลงตรงชานบ้าน ฟังเสียงฝนตก และเตรียมเข้านอนให้หลับสบาย

ผิดก็เพียงแต่ว่า ผู้ชายคนนั้น ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาอีกแล้ว


และไม่มีทางที่จะได้พบกันอีก