Skip to main content

19 สิงหาคม 2550



แล้ววันลงมติ รับหรือไม่รับ
ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ซึ่งถือเป็นวันสำคัญอย่างยิ่งของชาติอีกหนึ่งวันก็มาถึง คนในครอบครัวผมที่ใช้นามสกุลเดียวกัน มีใบแจ้งจากทางอำเภอมาบอกว่ามีสิทธิ์ไปลงประชามติ 4 คน นั่นคือผมกับน้องชาย 2 คน และน้องสาวอีกหนึ่งคน ส่วนภรรยาของผม แม้จะเปลี่ยนใช้นามสกุลเดียวกันกับผม แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้ย้ายสำมะโนครัวทะเบียนจากนนทบุรีมาอยู่ที่นี่


แต่ก็มีคนไปใช้สิทธิ์เพียง 2 คนเท่านั้น นั่นคือน้องสาวกับผม น้องชายคนที่ทำงานและพักอยู่ในเมือง กลับบ้านมาเมื่อวานด้วยความรีบร้อน ลืมเอาบัตรประชาชนมา จะใช้ใบขับขี่แทนก็ไม่มี และต้องรีบไปทำงานจึงไม่ได้ไป

น้องชายอีกคนที่ตกงานอยู่กับบ้าน นอนแฮงก์เหล้าที่เพื่อนมาเยี่ยมและซื้อมาเลี้ยงเมื่อวาน ผมไปเคาะประตูห้องถามเขาที่บ้านหลังเก่า สมบัติที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นของกลางที่ลูกทุกคนมีสิทธิ์มาอยู่ได้ เวลา 14.15 .

ถามเขาว่าจะไปไหม ถ้าไปจะมารับให้เตรียมตัวเอาไว้ เดี๋ยวกูไปส่งเมียขึ้นรถที่ปากซอยไปทำธุระที่หางดง แล้วจะกลับมารับไปกาบัตรด้วยกัน เขาตอบว่า ไม่ไป ผมบอกเขาว่ามันเป็นเรื่องที่ควรจะไปนะ และย้ำถามเขาว่า เป็นเพราะแฮงก์เหล้าจนไปไม่ไหวหรือไง

เขาตอบว่า ไม่ ผมจึงถามเขาอีกว่าเพราะอะไร เขาตอบว่าตกงานไม่มีเงิน รู้สึกว่าตัวเองซอมซ่อ ไม่มีความมั่นใจจะออกไปสู้หน้าคน กลัวเขาจะมองแบบดูถูกดูหมิ่น ผมเชื่อว่าเป็นคำตอบที่สอดคล้องกับความจริงกับสภาพที่น่าเห็นใจของเขา และผมเคารพความเป็นจริงส่วนตัวที่สมเหตุสมผลของเขา ผมจึงไม่บีบคั้นเขาให้ออกไปทำหน้าที่ทางสังคมที่เขาควรจะทำ…

หลังจากขับมอเตอร์ไซค์ออกไปส่งคนข้างเคียงที่ปากซอยเรียบร้อย ผมก็ตรงดิ่งไปกาบัตรที่วัด ซึ่งมีผู้คนไปกันอย่างโหรงเหรง จนประชาสัมพันธ์หมู่บ้านต้องประกาศให้ออกมากาบัตรกันเนื่องจากทางอำเภอมาตรวจสอบจำนวนผู้ไปใช้สิทธิ์ ปรากฏว่าตัวเลขยังไม่เป็นที่พอใจของทางอำเภอ

ผมฟังแล้วได้แต่ยิ้มเศร้า ๆ …
นึกสงสารผู้ใหญ่บ้านอย่างบอกไม่ถูก


หลังจากกากบาทบัตร
ลงในหีบเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกมาเดินเตร่กระซิบถามคนประเภทหัวหมอคนหนึ่งในหมู่บ้านว่า ทำไมถึงไม่ค่อยมีคนมาใช้สิทธิ์และดูไม่สนุกสนานตื่นเต้นเลย เขายิ้มอย่างมีเลศนัยบอกผมว่า เพราะไม่มีของขวัญ ชาวบ้านเขาก็เลยไม่อยากออกมา แถมยังให้คำตอบแบบฟันธงอีกว่า แต่ไม่ต้องกลัว…ถ้ามติชนะมีการเลือกตั้ง ขี้เกียจจะมีคนมาอ้อนวอนให้เอา ขี้เกียจจะเมากันหัวราน้ำ…


ขณะขับรถกลับบ้าน ผมซึ่งเป็นคนไม่ค่อยอยู่กับบ้านมาเกือบตลอดชีวิต ครั้งหลังสุดนี่…ออกจากบ้านไปนานถึง 7 ปี เพิ่งกลับมาอยู่บ้านได้ปีกว่า ๆ แอบบอกกับตัวเองว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่าน การเลือกตั้งคราวนี้ ซึ่งถูกกำหนดเอาไว้ในไม่กี่เดือนข้างหน้า คงจะเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม ที่จะได้เลือกใครสักคนหนึ่ง หรือพรรคสักพรรคหนึ่งด้วยตัวของผมเอง เพราะพ่อกับแม่ของผมท่านได้เสียชีวิตไปแล้ว จึงไม่มีใครที่มีอำนาจในสถาบันครอบครัว ไปรับของขวัญของใครก็ไม่รู้จากหัวคะแนนที่เก็บเอาไว้ให้ผม ตามลักษณะของสังคมบ้านนอกที่ต้องถือเอาคนที่มีอำนาจสูงสุดในครอบครัวเป็นผู้ชี้นำ และผมจำเป็นต้องยอมทำตาม…ตามหน้าที่ของลูกที่ดีของพ่อแม่ที่รับของขวัญจากเขามาแล้ว

ขืนไม่ไปลงคะแนนเสียให้เขา พ่อกับแม่และหัวคะแนนที่รู้จักมักจี่กันฉันท์ญาติมิตร ย่อมต้องเดือดร้อนหลังเลือกตั้งอย่างแน่นอน เพราะเขามีวิธีการเช็คที่สามารถชี้ตัวได้ว่า ใครเบี้ยวหรือไม่เบี้ยว…เพราะเคยมีหัวคะแนนที่อมของขวัญที่เขามอบให้มาแจกกับชาวบ้าน ถูกไล่ล่ายิงหัวโดยไม่ผิดตัวมาแล้ว

เปล่า ไม่ใช่เพราะผมรังเกียจของขวัญ หรือนึกดูถูกพ่อแม่พี่น้องของตัวเอง เหมือนคนในเมืองที่ชอบดูถูกคนต่างจังหวัดว่าพวกเขาโง่ สามารถหลอกซื้อเสียงได้ และเลือกเอาใครก็ไม่รู้ที่หน้าตาเด๋อด๋า ท่าทางการศึกษาต่ำเข้าไปในสภา ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วส่วนใหญ่ตัวเองก็ทำแบบคนบ้านนอก


นั่นคือ ตัวเองก็ไม่ได้เลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองในเชิงนโยบาย แต่ก็ยังเลือกตามระบบอุปถัมภ์เพื่อผลประโยชน์ในสังคมเมืองของตัวเอง แต่กลับไปดูถูกสติปัญญาของเขา เพียงเพราะว่าตัวแทนของผลประโยชน์ของคนบ้านนอก มันขัดกับตัวแทนของผลประโยชน์ของคนในเมืองเท่านั้นเอง


ใช่ ผมเพียงแต่อยากจะเลือก ใครสักคนหนึ่ง พรรคสักพรรคหนึ่ง ด้วยตัวของผมเองสักครั้ง…


ส่วนเรื่องการออกเสียงรับไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ผมเพิ่งไปทำหน้าที่ของพลเมืองดีมาเรียบร้อยแล้ว ใครอย่ามาถามผม ณ พื้นที่การสื่อสารแห่งนี้เลยว่า ผมเลือกกากบาทลงไปในช่องรับหรือไม่รับ


จะจ้างสักพัน ผมก็ไม่ตอบ เพราะถ้าตอบว่ารับ ผมก็จะถูกด่าสั่งสอนแบบปัญญาชน ที่ฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองโง่จนน่าตกใจ แต่ถ้าตอบไม่รับก็จะถูกด่าแบบถ่อย ๆ และหยาบคาย ที่ฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นตัวเสนียดจัญไรเหลือเกิน ผมจึงขอปิดไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยจากความสกปรก.


19 สิงหาคม 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่