Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 9

คอลัมน์/ชุมชน

10 มิถุนายน


ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ตึ้ง ๆ ๆ ๆ ดัง 4-5 ครั้ง ในตอนตีสามครึ่ง ฉันจึงงัดตัวเองออกจากที่นอน เสียงปลุกไพเราะเพราะพริ้งนี้ กังวานทุกเช้ามืดไม่เคยขาด แต่บางวันเวลาเพลไม่ยักดัง วันหนึ่ง ฉันไม่รู้ นั่งอ่านหนังสือทบทวนอยู่ในห้องจนเวลา 10.45 น. คนอื่นๆ รับประทานกันแล้ว วันนั้นฉันเลยหักดิบตัวเอง (อายเขาด้วย) ขึ้นไปทำสมาธิตั้งแต่ตอนนั้น มื้อนั้นงดซะ แต่แล้ว พอ 11 โมง  แม่ชีไทย ท่านอุตส่าห์ขึ้นมาตามให้ไปกินข้าว ปกติแม่ชีจะฉันข้าวแบบช้าๆ ช้ามาก จนเลิกเกือบหลังสุด แต่วันนั้นคงรีบฉัน เพื่อมาดูฉัน ว่าแห้งกรอบอยู่ตรงไหนไปแล้ว ฉันบอกว่าวันนี้ของด .....ปรากฏว่าบ่ายวันนั้น เธอเอ๋ย สบายกายสบายใจ สมาธิฉิวไปเลย แต่ขอโทษเถอะ ....วันต่อๆ มา ไม่กล้าอดอีกแล้ว กลัวทุกขเวทนาที่กระเพาะจะเกิดมากกว่าที่แข้งขา


ที่เล่าเรื่อง ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ตึ้ง เพราะเช้านี้ไม่ไหวจริงๆ ท้อถอย ด้วยความสงสัยเยอะไปหน่อย เอ๊ะ ก็บอกว่าไม่ให้คิดเลย ฉันจึงพยายามปลุกปล้ำกับยุบหนอพองหนอจนเครียด อันนี้รู้เพราะว่าฉันฟัดกับความตั้งใจมากเกินไป ปฏิบัติตามแบบของฉันมาหลายปีแล้ว แล้วอะไรล่ะคือตัวปัญญา ก็ที่ฉันเจอยุงกัด ก็เพราะคนฆ่ายุงเอย ฉันว่ามันก็ใช่นา ก็มันเห็นปุ๊บว่าทุกข์เกิดจากอะไร แต่จะอธิบายฟูมฟายแบบนี้กับสะยาดอไม่ได้ ไม่เหมาะ ท่านก็บอกว่าให้ดูทั้งหมดนั่นแหละ ที่จริงก็ไม่ได้ทิ้งจิตตานุปัสนา หงุดหงิดก็ให้รู้ สุขก็ให้รู้ ฉันก็ทำ แต่จิตมันดิ่ง ทิ้งยุบทิ้งพอง ทิ้งนั่ง ทิ้งกำหนด ถูกหนอ (ถูกพื้น) ไปหมด  แล้วจะอย่างไรเล่า เพราะการสอบอารมณ์ ทิ้งช่วงไปสองวัน จึงทำให้ฉันมีปัญหา  สงสัย...สงสัย


ตอนเที่ยงแม่ชีเดินมารองน้ำที่เครื่องกรองของตึก ฉันเลยถือโอกาสเรียนถามซะตรงนั้น ว่าไอ้อาการที่เกิดขึ้น ฉันอยู่ในข่าย "คิด" หรือเปล่า แม่ชีบอกว่า ถ้าทันความคิด และรู้ว่าจิตขณะนั้นมีอารมณ์อย่างไร นั่นคือจิตตานุปัสนา ไชโย !!!! สาธุ (ต้องไชโยก่อน เพราะฉันโล่งฉับพลัน)


แม่ชีบอกว่าต่อแต่นี้ไป ถ้าสงสัยให้กำหนดว่า "สงสัยหนอๆ" ถ้าท้อแท้ ก็ว่า "ท้อแท้หนอๆ" (หน้าตาฉันคงฟ้อง) เพราะนั่นคือ object หนึ่ง ที่เรียกว่า ธรรมมานุปัสสนา  แค่นี้แหละที่ฉันต้องการ สมแล้วที่ท่านสะยาดอตองปุ๊ลุบอกว่า แม่ชีเป็นกุญแจของฉัน


วันนี้มีเรื่องให้ฉันฟุ้งซ่าน ......เฮ้อ ไม่ค่อยจะตื่นเต้นแล้ว เพราะแขกผู้มาใหม่สองคนคุยกันเสียงดังเหลือเกิน อยู่ตรงข้ามห้องฉันคนหนึ่ง ห้องข้างๆ ทางด้านซ้ายคนหนึ่ง ส่วนทางด้านขวาเป็นแม่ชีเวียดนามคนเดิม เดี๋ยวนี้ฉันอาศัยฟังเทปสอนธรรมมะของท่านสะยาดออูชะนากา ยืมจากแม่ชีเวียดนามนั่นแหละ การฟังเทปที่ตึกทำการงดไปแล้ว เพราะเณรที่ดูแลไม่ค่อยว่าง หนุ่มแคนาดาก็บินไปอินเดียนานแล้ว ฉันจึงอาศัยหนังสือบ้าง (เวลาติดขัดจริงๆ) ทั้งที่ถือมาจากเมืองไทย และของอาจารย์ใหญ่ที่มีขายที่นี่ ในราคาที่ถูกมหัศจรรย์ ขนาดพ็อกเก็ตบุคส์ 100 หน้า ราคาคิดเป็นเงินไทยแค่ 12 บาท แต่ก็นั่นแหละ คงขายเป็นการกุศล เพราะจัดพิมพ์โดยลูกศิษย์ในสิงคโปร์ คาดว่าน่าจะพิมพ์ที่โน่นด้วย


อ้อ...กลับมาเรื่องผู้มาใหม่ อื้อหือ ทำเอาฉันหายท้อแท้เลยเธอเอ๋ย เพราะสองคนนี้เดินเข้ามาในห้องทำสมาธิขณะที่ฉันเดินจงกรมอยู่ พลันเหลือบตา (จิตส่งออก) ออกไปเห็น  ทำไงได้เล่า ตอนที่ฉันมาใหม่ แม่ชีเวียดนามก็บุ้ยใบ้ให้ไปเอาเสื่อรองนั่งและกลดกันยุงในห้องเก็บของข้างๆ  ฉันจึงต้องทำตามด้วยการดูแลน้องใหม่ ที่น่าจะเป็นชาวญี่ปุ่น (เธอทั้งสองยังสาวรุ่นอยู่เลย แต่เห็นเครื่องแบบนักบวชในแบบฉบับของเขาแล้วน่าเกรงขาม)  ฉันชี้ให้ไปเอาอุปกรณ์ในห้อง ซึ่งเธอ (ท่าน) ก็รู้เรื่อง แต่ที่น่าสนใจมีมากกว่านั้น บอกแล้วว่าฉันมันพวกจิตวุ่นวาย เธอสองคนดูเหมือนผู้ชายเลย แบบนักบวชจีนยังไงยังงั้น ดูคล้ายๆภิกษุณีเกาหลี อ้อ อีกอย่างหนึ่งช่วงนี้ ท่าทางภิกษุณีเกาหลี ดูไม่แจ่มใส เพราะไม่ได้สอบอารมณ์ ไม่มีล่าม ท่านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ สะยาดอก็พูดภาษาเกาหลีไม่ได้ วันหนึ่ง...ฉันไปที่ห้องนั่งสมาธิสายเธอถามฉันว่าไม่สบายเหรอ พลางทำท่าเอียงคอซบมือเหนือไหล่ (เห็นภาพไหม) ฉันยิ้ม ส่ายหน้า เปล่าจ๊ะ  ไม่ได้นอนด้วย แต่มัวเขียนบันทึกนี้อยู่นี่ไง 


กลับมาเรื่องสองนักบวชสาวต่อ  ฉันรู้สึกถึงรังสีความมุ่งมั่น (วิริยะ) ของทั้งสอง....สองอะไรดี  สองคน เปล่งออกมาราวกับกำลังดูหนังจีนก็มิปาน จริงๆ นะ ท่าทางเดินจงกรมเชื่องช้าแต่มั่นคง บอกเลยว่าไม่ใช่มือใหม่ ตัวตรงแหนว หน้าตาเรียบเฉย (ฉันแอบเหลือบตาดูน่ะ สะยาดอสั่งว่าให้สำรวมสายตา ฉันรู้  ฉันรู้ แต่เพราะฉันยังตื่นเต้นกับโลกธรรมอยู่ ฉันจึงฟุ้งซ่านไปนาน)  
 
เรื่องเครื่องแต่งตัวก็น่าสนใจ เพราะเสื้อของท่านเป็นแบบคล้ายอินเดียที่ผู้ชายใส่ ยาวลงมาคลุมเข่าสีเทาฟ้า กางเกงแบบแขกสั้นรัดขาครึ่งน่อง ดูรวมๆ แล้วเหมือนซามูไรมากกว่า ไม่เหมือนภิกษุณีเกาหลี ที่นุ่งกางเกงแบบจินนี่ เสื่อแบบจีน ผ้าบางๆ สีออกฟ้าๆ ทั้งชุด แต่พิเศษตรงที่สะไบหรือสะบง สะพายแล่งยาวคลุมถึงข้อเท้า สีน้ำตาลเข้ม ฉันแอบพิจารณาตอนยืนเข้าแถวรอคิว เดินเข้าหอฉัน ฉันต้องอยู่ข้างหลังท่าน จึงเห็นความงดงามสีสันที่ลงตัว อีกอย่างผ้าสีน้ำเงินเป็นผ้าไหมที่ทอด้วยลวดลายพิเศษมีรูปสัตว์หลายชนิดเป็นริ้วรอยนูนในเนื้อผ้า อันนี้เหลือบดูตอนเธอเอาขึ้นตากบนเชือกแขวนกลดในห้องสมาธิ เพราะสองสามวันก่อนฝนตกตลอดวัน


บรรยายซะยาวเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับธรรมะซะหน่อย แต่น่าสนใจ ที่นักบวชชาติไหนๆ ก็แต่งกายตามแบบของตัวเองได้ ขอเพียงให้ตั้งใจเรียนรู้ปฎิบัติเอาวิชากลับไป


ฉันรู้สึกตัวเองโป่งออกเล็กน้อย แบบว่า ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ เพราะรอบๆ ตัวดูเหมือนเขาจะสละโลกกันแล้วทั้งนั้นจึงได้มาที่นี่ ส่วนฉันยังคงโลกๆ อยู่เลย แถมตอนอาจารย์ใหญ่ถามว่าจะอยู่นานแค่ไหน บอกท่านว่านานเท่าที่จะทำได้ ท่านถามว่าก็เท่าไหร่ล่ะ เรียนท่านว่าหนึ่งเดือน ท่านว่านั่นน่ะสั้นมาก ถ้านานต้องหนึ่งปี จริงๆ นะเธอ พอมาถึงวันนี้ 1 ปียังน้อยไป สำหรับวิชานี้ เพราะยังมีอะไรอีกมากที่ฉันไม่รู้ ยิ่งอยู่นานยิ่งไม่รู้ แต่ว่าเมื่อไหร่ล่ะที่ฉันจะได้มาอยู่สักหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย ...เมื่อไหร่เล่า


ฉันถามตัวเองขณะที่ยกมือขึ้นลูบหัว ที่ยังมีผมปกคลุม แม้จะสั้นกุดแล้วก็ตาม แต่มันยังยาว ยังห่อหุ้มให้รำคาญในความรู้สึก บ่อยครั้งที่ฉันแอบมองศรีษะกลมๆ ของภิกษุณีเกาหลี แล้วบอกกับตัวเองว่า ฉันชอบผมทรงนั้นแหละ 
 
ตอนนี้รอบๆ ตัวดูจะวุ่นวายไปหมด เสียงดังที่ว่าห้องข้างๆ ไม่ใช่ซามูไรสาวเสียแล้วล่ะ (ตกลงว่าเธอเป็นญี่ปุ่นจริงๆ) แต่เป็นสาวน้อยหลานสาวท่านประธานสองคนที่เพิ่งเข้ามาพัก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเวลามาอยู่ในห้องแล้วต้องคุยๆๆๆ ฉันมันเป็นพวกน้ำลายบูดมานานแล้ว แม้แต่ที่กรุงเทพฯ เพราะอยู่ในบ้านคนเดียวมานาน ยกเว้นเวลาที่มีโทรศัพท์มา โดยเฉพาะคุยกับเธอ ตอนจะวางหูโทรศัพท์ต้องเอามีดมาแซะออกจากหู


มีอะไรอีกหรือเปล่าที่ไม่ได้รายงาน ว่าแต่ว่าจดหมายปึกแรกไปถึงเธอรึยัง เป็นห่วงจังกลัวมันหายซะตั้งแต่อยู่ระหว่างทาง ไม่ทันข้ามฟ้าไปสู่เมืองโยเดีย (อโยธยา – คนพม่ายังคงเรียกพวกเราแบบนั้น)


อ้อ...สุดท้าย ยังมีรายชื่อบุคคลผู้เป็นเจ้ากรรมนายเวรฉันโผล่มาเรื่อยๆ บางรายฉันทำสาหัสมาก แต่ฉันก็ลืมเขาเสียสนิท โดยเฉพาะรายที่ร้องขอว่า "อย่าไปเลย อย่าไปทำงานที่นั่นเลย" (หมายถึงงานในหมู่บ้านชนบท) มันไกลเกินไประหว่างเรา แต่ฉันก็บอกเขาแล้ว ระหว่างความรักกับงาน ฉันเลือกอย่างหลัง แต่ที่เขาเจ็บปวดที่สุดเห็นจะเป็นที่ฉันขอร้องเขาว่า อย่าตามไปเยี่ยมฉันในหมู่บ้าน เพราะฉันไม่ต้องการให้มีปัญหาใดๆ มารบกวนในการทำงาน (เพราะฉันทำงานท่ามกลางสถานการณ์สังคมที่ไม่ปกติ) ความจริงที่ซ่อนอยู่ในเหตุผลก็คือฉันทิ้งเขา เพียงแต่คิดไม่ถึง เพราะฉันไม่ได้ทิ้งไปมีใครคนใหม่ แต่ฉันทิ้งเขาไว้ให้รอคอยวันที่จะกลับมาหาเขา แต่ไม่เคยมีวันนั้นอีกเลย  เพราะฉันเลือกเดินไปข้างหน้าตลอดเวลา ชายหนุ่มผู้เจ็บช้ำด้วยเหตุนี้....คนนั้น ขอให้รู้เถิดว่า บัดนี้ ฉันสำนึกผิดแล้ว และขออโหสิกรรมให้ฉันด้วยเถิด


ฉันไม่แปลกใจในกรณีที่จิตมันขุดค้นเอากรรมเก่ามาฟ้องร้อง เพราะเคยมีคนบอกว่า ตอนที่เขาบวชพระนั้น จิตระลึกย้อนกลับไปเห็นกรรมที่เขาทำสมัยเด็กๆ ทั้งที่เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำ  นี่ไง กุศลกรรม ที่เข้าไปชำระอกุศลกรรม ฉันจึงได้เจอกับคู่กรณีที่เป็นเจ้ากรรมนายเวร อย่างสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเรื่องของใครคนหนึ่ง ที่ตามหาฉัน จนกระทั่งเจอกัน และมาชำระสะสางหนี้กรรมเก่าจนหมดในครั้งนี้ ที่บอกว่าจะเล่าให้เธอฟังในบันทึกฉบับที่แล้วนั่นไง


เรื่องมีอยู่ว่า...


มีไม้แกะสลักรูปหนึ่ง ฉันไปเจอในร้านขายของเก่า (ของเพื่อนฉันเอง)  คนพม่าเรียกว่า "นัท" หรือผีนัท ที่เป็นผีบ้านผีเมือง หรือเทวดาประจำบ้านประจำเมืองก็แล้วแต่ (พม่าทางตอนเหนือ จะมีการทำพิธีบูชาทุกปี) ครั้งแรกที่มาพม่าฉันเองก็พยายมจะไปให้ถึงที่นั่น แต่เข้าไปยากจึงต้องเปลี่ยนใจ จนในที่สุด ได้มาเจอของจริง ที่เมืองไทย


ของจริงที่ว่า คือรูปไม้แกะสลักเท่านั้น แต่บังเอิญหรือไม่ ฉันไม่รู้ ที่มีบางอย่างในไม้แกะนั้นกระซิบบอกฉันว่า เขารอเจอฉันมานาน ในนาทีที่ฉันจับเขาขึ้นมาดู น้ำตาฉันก็ไหลพราก จนคนข้างๆ ตกใจ เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าข้างในใจมีแต่ความคิดถึงความสงสาร สงสารจับจิตจับใจ ฉันกอดเขาไว้แนบอกเหมือนกอดเด็กๆ พร่ำแต่คำว่า ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ และฉันต้องเอาเขากลับบ้านให้ได้ ต้องเอากลับบ้านให้ได้ เท่านั้น 



 
ไม้แกะที่มีหน้าตาเหมือนคนจริงๆ มีเครื่องประดับศรีษะคล้ายผ้าพันผมแบบนักรบ เพราะมีเฉพาะท่อนศรีษะ จึงเห็นได้แค่นั้น ฉันบอกกับคนขายว่า ฉันไม่มีเงินจะซื้อ ไม่ว่าจะราคาเท่าใดก็ตาม แต่ฉันมีผ้าปักลายดิ้นทองผืนหนึ่งมาแลก แน่นอน..ผ้าผืนนั้นมีประวัติศาสตร์ ฉันเคยฝากไปให้ผู้รู้ด้านผ้าทอโบราณดู (อาจารย์แพนไง) เขาบอกว่าเป็นงานปักในราชสำนักของไทยใหญ่  ซึ่งตรงกับที่ฉันรู้แบบไร้เหตุผล นั่นก็หมายความว่าผ้าผืนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิญญาณในไม้แกะนั้นเช่นกัน



เมื่อแลกผ้าผืนนั้นไปแล้ว ฉันเอาเขากลับบ้าน ทีแรกคิดว่า รูปไม้แกะนั้นเป็นผู้หญิง เพราะหน้าตาท่าทางจิ้มลิ้ม แต่ทว่า เมื่อมาถึงบ้าน สิ่งที่สำแดงให้ฉันเห็นกลับเป็นวิญญาณของผู้ชาย เขาบอกว่าเขาชื่อ ชเว นาธา เป็นนักรบมาจากทางเหนือของพม่า แค่นี้ฉันก็สะดุ้งแล้ว


คืนนั้น ฉันเจอศึกหนัก ร้อนไปหมดทั้งร่าง ร้อนอยู่ข้างใน จะนอนก็นอนไม่ได้ แม้ว่าในห้องจะปรับอากาศอุณหภูมิต่ำสุดๆ แล้ว จึงลุกขึ้นมาสวดมนต์เสียงดังๆ แต่ก็ไร้ความหมาย ถูกรบกวนสมาธิ (ถ้าใครมาเห็นตอนนั้น ต้องหาว่าฉันเป็นบ้า เพราะผุดลุกผุดนั่ง เสียสติ)  จนฉันต้องตัดสินใจนิ่งฟังเสียง (ที่ไม่มีใครได้ยิน) จากไม้แกะนั้น


เขาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง ด้วยความคั่งแค้นที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น (แค้นชนิดข้ามภพข้ามชาติ) ทำให้ฉันกลัวแทบขาดใจ เพราะคนที่เขาแค้นคือฉัน ขณะที่ฉันยังคงรู้สึกสงสารเขาจับใจ ไม่ว่าข้างในใจจะหวาดกลัวหรือสงสารเขา แต่ฉันก็สงสารตัวเองมากกว่า เพราะหากเกิดอะไรขึ้น จะเล่าให้คนอื่นฟังได้ยังไง เผลอๆ ถูกส่งโรงพยาบาลบ้า


เราคุยกัน (แบบไร้เสียง) จนหัวใจฉันอ่อนล้าไปหมด ฉันยืนยันว่าฉันไม่ได้ทำร้ายเขา  เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจากคนอีกคนหนึ่ง คนที่เขาไว้วางใจที่สุด ไม่ใช่ฉัน ใครคนนั้นเขามีโอกาสได้เจออยู่แล้ว เพราะเราสนิทกัน (ตอนนั้น เหมือนภาพจริงๆ ผุดขึ้นในหัวฉันเลยแหละ จึงรู้ว่าใครเป็นใคร) 


ที่เขาตามมาแก้แค้นก็เพราะคาดไม่ถึงว่าคนที่เขาไว้วางใจที่สุด (คือฉันและใครอีกคน) จะทรยศเขาได้


จบบันทึกแค่นี้ก่อนนะ...จนมาถึงตอนนี้ ฉันก็ยังไม่รู้หรอกว่าจริงหรือเท็จสำหรับโลกนี้ เธอไม่ต้องเชื่อฉันหรอก แค่ฟังฉันก็พอ แต่การที่ฉันมาที่นี่ แล้วมาเจอของบางอย่างในห้องนอน กับข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับชื่อนี้ ทำเอาฉันอึ้ง ตะลึงในชะตากรรม


ฉันเอง


ขอขอบคุณ ภาพประกอบ โดย Bob Wallace 
จาก เว็บไซต์  http://www.pbase.com/bobtrips/image/5036780/original