สมาคมนักเขียน
คอลัมน์/ชุมชน
แสงดาว ศรัทธามั่น
มีดวงตาไว้เห็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม
และมีหัวใจไว้เรียกร้องให้เกิดการแก้ไข
สังคมเราต้องการดวงตาและดวงใจเช่นนี้
ข้างบนนี้เป็น แม่ญิงโย-นก เธอเขียนไว้ในบล็อกของดิฉัน จึงขอนำมาใช้ในโอกาสที่สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยมาเชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา เขามีการสัมมนานักเขียนสีภาคเห็นว่า ไปมาแล้วทุกภาค และภาคเหนือที่เชียงใหม่
มีดวงตาไว้เห็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรม
และมีหัวใจไว้เรียกร้องให้เกิดการแก้ไข
สังคมเราต้องการดวงตาและดวงใจเช่นนี้
ดิฉันคิดว่า นี่แหละที่นักเขียนควรตระหนัก รวมทั้งสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยด้วย เพราะที่ผ่านมาสมาคมฯ ทำตัวไม่รู้ร้อนหนาวกับเรื่องราวในสังคม ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ไม่เคยมีแถลงการณ์ของสมาคมฯ หรือเรียกว่าไม่เคยแสดงอะไรออกมาเลยในนามของสมาคม ข่าวเกี่ยวกับสมาคมฯ เป็นช่าวเล็ก ๆ เช่นจิบน้ำชา-เสวนา ทำบุญให้กับนักเขียนที่เสียชีวิต จัดงานวันนักเขียน 5 พฤษภาคม มอบรางวัลศรีบูรพา และไปประเทศจีนกันบ้าง
เคยมีนักเขียนเรียกร้องเหมือนกัน เช่นในช่วงพฤษภาทมิฬ มีจดหมายนักเขียนจากเชียงใหม่
"แสงดาว ศรัทธามั่น" เขียนไปลงคอลัมน์สิงห์ สนามหลวง และต่อมาในช่วงเกิดวิกฤตศรัทธารัฐบาลทักษิณ ก็ได้เกิดกลุ่มนักเขียนตั้งเป็นเครือข่ายขึ้นมา
ครั้งหนึ่งคุณสมบูรณ์ วรพงษ์ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ อาวุโส ซึ่งทำงานเป็นที่ปรึกษาอยู่ที่ไทยรัฐ เป็นคนเชียงใหม่ ท่านได้พยายามที่จะรวมกลุ่มนักเขียนในชียงใหม่เพื่อจัดตั้งเป็นชมรม และได้นัดพบนักเขียนครั้งหนึ่งที่ร้านหนังสือ "ร้านเล่า" วัตถุประสงค์ของท่านคืออยากให้มีการทำงานร่วมกันในกิจกรรมเพื่อสังคม แลดูแลทุกข์สุขกัน เพราะท่านเป็นหวงนักเขียน โดยเฉพาะนักเขียนที่ไม่มีรางวัล และไม่มีงานประจำ คือพวกนักเขียนอิสระที่ไม่สังกัดองค์กร โดยท่านจะเป็นผู้หาทุนสำหรับการทำงานให้
คุณสมบูรณ์ วรพงษ์ มีความตั้งใจสูงมาก แม้ว่าท่านจะสูงวัยมากแล้ว แต่ในการพบปะพูดคุยครั้งนั้น หลายคนมีความเห็นว่า กลุ่มนักเขียนภาคเหนือทำงานร่วมกันอยู่แล้ว พบปะกันอยู่แล้ว โดยไม่ต้องตั้งเป็นชมรมหรือกลุ่ม แต่อย่างไรก็เพื่อความตั้งใจอันดีงาม ก็ไม่ได้ทิ้งความปรารถนาดีของท่านเสียทีเดียว คิดว่าจะพิจารณาเรื่องนี้กันต่อไป
แต่ในระยะหลัง คุณสมบูรณ์ ป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาลติดต่อกันนาน
และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ที่เชียงใหม่ กลุ่มนักเขียนเชียงใหม่รุ่นใหม่ส่วนหนึ่งพยายามจะตั้งกลุ่มนักเขียนภาคเหนือขึ้นมา และมีการนัดพบปะสังสรรค์และเปิดตัวหนังสือหลายเล่มที่ บ้าน"เทพศริ สุขโสภา"
นักเขียนที่อยู่ในเชียงใหม่ ถือได้ว่าเป็นกลุ่มนักเขียนที่รวมตัวกันทำงานอย่างเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม และเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคมก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีการลงชื่อร่วมกัน และร่วมกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอไม่ว่าเป็นเหตุการณ์ในเมืองเชียงใหม่ เช่นโครงการเมกกะโปรเจ็คที่เห็นว่าไม่เหมาะสมในเมืองเชียงใหม่ และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือนอกเหนือจากเชียงใหม่ก็ตาม
ดังนั้น การมาของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นการเปิดตัวสู่สาธารณะชนอย่างจริงจัง
สมาคมนักเขียนฯ ลงมาพบปะพูดคุยกับนักเขียน และเปิดตัวให้เป็นที่รู้จักกันและกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องพูดถึงการสัมมนาก็ถือว่าดียิ่งแล้ว หรือว่าการสัมมนาเป็นผลพลอยได้แล้วกัน เพราะถ้าคิดถึงการสัมมนานักเขียนอาจจะไม่ไปก็ได้ ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือจริง ดูหัวข้อสัมมนาและจดหมายเชิญเถอะ
เพิ่งได้หนังสือเชิญอย่างเป็นทางการ จากผู้ประสานงานเอามาให้ถึงบ้าน หัวกระดาษมีตราครุฑ ดูเป็นทางการยิ่งและออกมาในนามของคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กำหนดหัวข้อ "สถานการณ์นักเขียนไทยวันนี้ คุณภาพหรือปริมาณ"
บอกจริง ๆ ว่า ได้ยินชื่อหัวข้อการสัมมนาแล้วไม่ชวนให้ไปเลย เป็นการตั้งคำถามที่ดูเหมือนมีคำตอบอยู่แล้ว
ยิ่งอ่านวัตถุประสงค์ต่อไปอีกว่า เพื่อเปิดโอกาสให้นักเขียนในภูมิภาคต่าง ๆ ได้พบปะแลกเปลี่ยนสนทนากัน เพื่อศึกษากลวิธีทางวรรณศิลป์ซึ่งกันและกันสำหรับนำมาปรับใช้ในการเขียนต่อไป
ข้อนี้ดูเหมือนจะเป็นจริงยากเพราะว่า มันไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นักเขียนจะมาพบกันและศึกษากลวิธีทางวรรณศิลป์เพราะวิธีทางวรรณศิลป์ไม่ใช่งานปั้นปูนหรือเทคนิคการตกแต่ง และท้ายที่สุดเพื่อประโยชน์ต่อแวดวงการศึกษา
อย่างไรก็ตามถ้าไม่ติดขัดอึดอัดเรื่องจดหมายและหัวข้อสัมมนา งานนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ
มีปาฐกถา โดยศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. เจตนา นาควัชระ และตามมาด้วยการอภิปราย "สถานการณ์นักเขียนภาคเหนือกับประเด็นสิ่งแวดล้อม"
ก้าวใหม่ของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ยุค ชมัยพร แสงกระจ่าง นักเขียน นักวิจารณ์ คนสำคัญของประเทศ และมีเหล่านักเขียนสายวรรณกรรมรุ่นใหม่ร่วมทีมงานอีกมากมาย เช่น ขจรฤทธิ์ รักษา จตุพล บุญพลัด พินิจ นิลรัตน์ เจน สงสมพันธ์ ฯลฯ
ขอจบด้วยบทหนังที่น่าประทับใจเรื่อง แด่โนอาด้วยดวงใจ
ลุงบอกโนอาว่า "งานทำให้คนเรามีค่าขึ้น ถ้ารักงาน งานจะปกป้องเรา จงตัดความกังวลออกไปและทำสิ่งที่ถูกต้องด้วยสองมือ"