Skip to main content

ภาพผ่านในสายฝน

คอลัมน์/ชุมชน

ชายชราเงยหน้าขึ้น มองไปยังเม็ดฝนที่ค่อยๆ หล่นปลิวมาอย่างเงียบๆ

เขาเม้มปาก หรี่ดวงตา พลางเอามือจับไว้ที่แฮนด์มอเตอร์ไซค์อย่างแน่น แม้ว่าขณะนี้ยังไม่ได้ติดเครื่อง มันยังจอดอยู่ที่เดิม


ฉันมองไปยังถุงข้าวผัดที่ห้อยไว้หน้ารถ เมื่อโบกไม้โบกมือ ให้เขาขยับรถสู่ร่มชายคา  เขากลับปฏิเสธ บอกด้วยท่าทีนักคิดว่า
"ฝนแค่นี้ ไม่เป็นไรหรอก ฝ่าไปได้หายห่วง ดีกว่าตกหนักติดตรงนี้นาน จะเลยบ่ายแล้ว"
"ไม่เห็นเป็นไรนี่นา ไม่มีธุระที่ไหนแล้วไม่ใช่เหรอ"


ฉันถามอย่างกับคนรู้ดี ทั้งที่ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับเขาเสียหน่อย เขาส่ายหน้า เลื่อนมาห่วงใยถุงข้าวผัดที่ดูเหมือนจะยังอุ่นๆ อยู่
"แม่เฒ่าจะโวยเอา บอกว่าเสร็จธุระในเวียงแล้วฝากซื้อข้าวผัดให้ด้วย แต่เขาทำนานมากกว่าจะเสร็จ"


ไม่มีอะไรฉายชัดอยู่ในนั้น ความรัก ความห่วงใย หรือความชิงชัง รำคาญ ฉันหลบสายตา ไม่ใช่ความว่างเปล่าหรอกที่มองไม่เห็น การพรากจากของเราต่างหาก นานมากเสียจนไม่อาจเข้าถึงความรู้สึกกันและกันได้  กระนั้นฉันก็ยังนึกห่วง ห่วงวัยชราที่ก้าวมาเยือนทั้งทางใบหน้าและร่างกาย น้ำเสียงของเขา แม้ท่วงท่าที่จะพยายามจะบอกว่า เขายังแข็งแรงเสมอ ตื่นตี 5 เพื่อออกมาวิ่ง ผมยังย้อมให้ดูดกดำ แม้ขับรถเครื่องเข้าตลาดไกลนับสิบกิโลเมตร ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องสบาย


"เอาอย่างนี้ เดี๋ยวขับไปส่งเอง" ฉันเอ่ยปาก เขาชะงักไปนิด แล้วก็หันซ้าย หันขวา
"ธุระที่มาเสร็จแล้วเหรอ ไม่เป็นไรมั้ง"
"เสร็จหมดแล้ว ค่ำๆ ก็เข้าเมืองแล้วล่ะ มาเดี๋ยวขี่ไปส่ง"
"อ้าว แล้วขากลับจะทำยังไง ก็ต้องมาส่งกันอีกน่ะสิ"


เขาว่าอย่างขำๆ ฉันก็หัวเราะตาม ก็คงต้องอย่างนั้นแหละพ่ออุ๊ยเอ๋ย มีอย่างที่ไหน หูตาก็ไม่ค่อยดี ฝนตกแบบนี้จะขับกลับบ้านคนเดียว


"ป่ะ"
พูดเสร็จฉันก็คว้ากุญแจรถมาถือไว้ สะกิดให้เขาขยับไปซ้อนท้าย ความทรงจำนับสิบปีก่อนกับการขี่มอเตอร์ไซต์ในหมู่บ้านก็ผุดพราย ถนนโล่งๆ แบบนี้ ไม่อันตรายเท่าไหร่หรอก


ฝนยังคงตกมาเรื่อยๆ หยดน้ำใสใสที่ปลิวมาจากฟากฟ้าแสนไกล พรมถนนให้เป็นสีเข้ม พรมต้นไม้ให้เป็นสีเขียว เมืองที่กว้างใหญ่ด้วยผืนไร่ผืนนา มองเห็นภูเขาได้รอบทิศ บางช่วงนั้นยังมองเห็นแสงแดด สาดส่องอยู่ไกลริบๆ


"ฝั่งโน้นฝนไม่ตกเลยนะ ดูสิ" ฉันชี้ชวนให้ดู เขาเกาะเอวเอาไว้แน่น พลางพิศไปตามที่บอก
"อืม แดดยังออกอยู่เลย แปลว่าไม่หนัก ขับไปๆ เดี๋ยวคงหยุด"


ได้ที ฉันก็บิดความเร็วขึ้นอีกหน่อย แอบหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาจับเอวให้แน่นขึ้นอีกนิด


"กลัวเหรอ" ฉันถาม
"โอ้ย ไม่กลัวหรอก แค่นึกถึงสมัยก่อนนะ ตอนเราฝึกมอเตอร์ไซต์ใหม่ๆ กลัว ไม่กล้าซ้อนท้าย จำได้เปล่า ฮ่าๆ น่าหวาดเสียว"

จำได้สิ มอเตอร์ไซต์ก็ไม่ใช่ของเรา เป็นของเพื่อนข้างๆ ที่มีน้ำใจมารับไปโรงเรียน วันหนึ่งก็บอกขี้เกียจขับ ให้ฉันทำหน้าที่ละกัน ชายชราเคยร้องจ๊าก แววตาน่าเอ็นดู กลัวเด็กน้อยจะไปไม่ถึงโรงเรียน


"ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เลย ผ้ายาง เสื้อกันฝน ก็ไม่เตรียมไว้นะนั่น" ฉันเอ่ยดุ เขาหัวเราะเบาๆ
"เมื่อเช้ารีบ ไม่ทันเตรียมอะไรมา อยู่ใต้ฟ้ากลัวอะไรกับฝนเล่า"
"กลัวเปียกไง"


เขาหัวเราะให้คำตอบ ถนนคดเคี้ยวข้างหน้าเริ่มพล่ามัว แว่นตาชื้นและมีรอยฝ้า ยกมือขึ้นมาเช็ดๆ ไปด้วยขณะขี่ ชายชรายังอารมณ์ดี ไม่กลัวเปียก ซ้อนท้ายไปพร้อมเล่าความหลัง ผ่านเส้นทางคดเคี้ยว และผ่านหมู่บ้านต่างๆ มาจนกระทั่งถึงเรือนไม้สีน้ำตาล ที่เขาพักอาศัยอยู่


"เฮ้อออ ถึงซะที"
ฉันว่า ชายชรายิ้มกว้าง ริมฝีปากและดวงตาที่คุ้นเคย แย้งขึ้นมาเบาๆ


"สนุกดีออก"
นั่นประไร คนแก่หัวใจเด็ก ทำตัวร่าเริงลงจากมอเตอร์ไซต์ ผลุบเข้าใต้ถุนบ้าน เสื้อผ้าเปียก เส้นผมเปียก กระเป๋าเปียก แม่เฒ่าคนที่อยู่ด้วยรีบเดินออกมาหา


"ตายแล้วๆ ทำอะไรกันเนี่ย สองพ่อลูก ท่าจะบ้า ผ้ายางก็ไม่คลุม ไปๆ ไปล้างหัว"
เธอออกคำสั่ง ชายชราหันมายักคิ้ว แต่ร่าเริงได้ไม่นาน ก็พบกับความจริงที่ว่า


"ข้าวผัดเปียกน้ำหมดเลย!"
"อ้าว ไหงงั้น ใส่กล่องโฟมมาแล้วนะ ใส่ถุงซ้อนอีก มัดปากไว้อย่างดี"


แก้ตัวกันพัลวันอยู่นานสองนาน ฉันยืนสลัดปัดป่ายหยดฝนที่เกาะพรมอยู่บนเนื้อตัว เช็ดแว่นด้วยชายเสื้อยืด มองไปยังท้องฟ้า เหมือนจงใจจะแกล้งกัน ถึงบ้านหลังนั้นไม่เกิน 15 นาที ฟ้าก็หมาดฝน


แดดก็ค่อยๆ โรยตัวลงมา ฟ้าก็กระจ่างออกแล้ว


ชายชราเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ตัวใหม่หอมกรุ่น รีดเรียบตามแบบของเขา


"ป่ะ เดี๋ยวไปส่ง"
เขาอาสา พาฉันไปยังที่พบกันเมื่อตะกี้นี้ แม่เฒ่าทำหน้ามึนงง แววตาดูไม่ค่อยพอใจนัก


"ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับเอง เดี๋ยวโทรให้คนในเวียงมารับแป๊บเดียว หรือไม่เดี๋ยวติดรถใครแถวนี้ไป"
ฉันออกความเห็น มีเวลาอีกหลายชั่วโมง เดี๋ยวเดินเล่น ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย แม้กระทั่งคิดว่าเดินกลับก็ยังได้


"เออ น่า ป่ะๆ ไปกัน"
ชายชราเดินนำไปยังมอเตอร์ไซค์ คราวนี้รีบถือกุญแจไว้ อาสาแข็งขัน


"มารอบนี้ไม่มีฝนแล้ว เดี๋ยวขี่เอง"
อย่างว่าง่าย ฉันกระโดดขึ้นไปนั่งซ้อนท้าย ทั้งที่ยังไม่ทันได้สตาร์ทรถ มือเกาะเอาไว้เขาไว้แน่น


"ลุยเล้ย"
เสียงสตาร์ทดังกระหึ่ม มอเตอร์ไซค์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากบ้าน หวังว่ารอบนี้จะไม่มีฝน เงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้า ทุกอย่างกระจ่างสดใส ก้อนเมฆหายไปหมดแล้ว มองต้นไม้ก็ชัด ภูเขาก็ชัด กระทั่งทุ่งนาและคนเดินสวน


"ไปไหนกันเหรอนั่นลุง" บางคนตะโกนถาม


"ไปส่งลูกสาวเข้าเวียง" ชายชราตะโกนตอบ แถมรอยยิ้มจากฉันเข้าไปด้วย เขาพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาไกลๆ เป็นชุดยาวๆ ของแม่เฒ่าว่า


"พิลึกคน ทำอะไรแผลงๆ บ้าๆ บอๆ ทั้งพ่อทั้งลูก ขับฝ่ารถมา แล้วก็ขับกลับไป จะส่งกันไปส่งกันมา ตลกจริงๆ"


เขาทำหูทวนลม ฉันก็เลยทำตาม ได้ยินเสียงหึ่งๆ ของแมงกะไซค์ และเสียงลมที่พัดผ่านเรา
ปล่อยให้ชายชราขับรถไปอย่างช้าๆ และเราสองคนได้มีเวลาคุยกัน มองภาพข้างทางในเส้นทางเดิมที่เราผ่านมาเมื่อครู่นี้


ภาพที่เคยพร่ามัว อะไรๆ ไม่ชัดเจนนัก ภาพที่บุบเบลอในสายฝน ปะปนทั้งจินตนาการและเรื่องราวในอดีต อะไรไม่ชัดก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น คำถามที่เคยสะสมอยู่ในกาลเวลา บางอย่างก็กระจายไปตามสายฝน


หลายครั้งที่เคยเปียกฝน กับคนมากมาย ต่างถนนต่างเวลา หลายครั้งที่เคยน้อยใจว่า ยามเปียกนั้นไม่มีร่มสักคันจากเขา ที่ที่เราไกลกัน ชีวิตที่ซัดเซพเนจรไป และโหยหาช่วงเวลาอันอบอุ่นจากอ้อมกอด


ถึงวันหนึ่งนั้นก็รู้ว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีคำตอบว่าทำไม ในขณะที่ผ่านฤดูกาลแห่งฝนครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ฝนกลับทำให้อุ่นขึ้น


อุ่น-แม้ไม่มีร่ม ไม่มีอ้อมกอด หรือ แม้แต่คำว่าบ้าน ไม่มีการห้ามให้เปียกฝน
แค่เขาทำแบบนั้น ทำอย่างที่เขาทำ ก็แค่เขายังยิ้ม


ยิ้มอยู่ในภาพผ่านสายฝนที่พร่ามัว.














.................


หมายเหตุ : ขอบคุณภาพลำดับที่ 4, 5, 6 ดวงตาในฤดูฝนจากคุณปิยนาถ ประยูร ขอบคุณค่ะ : )