Skip to main content

ไปเป็นโยคีที่เมืองพม่า ตอนที่ 10

คอลัมน์/ชุมชน

11 มิถุนายน
 
วันนี้สะยาดอไม่อยู่ ออกไปธุระข้างนอก ทีแรกแม่ชีเวียดนามมากระซิบขอให้ฉันบอกลาการสอบอารมณ์ให้ เพราะความดันโลหิตของเธอขึ้นสูงปรี๊ด เธอไม่สามารถสอบอารมณ์ได้ในสถานการณ์ที่เครียด พอฉันเดินลงมาข้างล่างกำลังจะไปตึกสอบอารมณ์ สวนทางกับแม่ชีเวียดนาม เธอยิ้มแป้น รีบบอกว่าวันนี้สะยาดอไม่อยู่ ในมือเธอมีเครื่องอุปโภคบริโภคประมาณว่ากาแฟ คอฟฟี่เมต อะไรทำนองนี้มาด้วย

และเมื่อฉันขึ้นมาชั้นสอง ที่ห้องทำสมาธิพบภิกษุณีเกาหลียิ้มแป้นอีก ถามว่าสะยาดอไม่อยู่ใช่ไหม พอฉันว่า ใช่ เธอรีบกระโจน (กระโจนจริงๆ นะ) ขึ้นไปชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องทำสมาธิของผู้ชาย และพระสงฆ์ เธอคงแวบไปหาที่ปรึกษา เพราะมีพระสงฆ์เกาหลีมาปฎิบัติอยู่ด้วยรูปหรือสองรูปนี่แหละ (ท่านอาจารย์คงไม่ห้าม เพราะฉันเห็นท่านขึ้นไปบ่อย)



12 มิถุนายน


วันนี้นับเป็นวันที่สิบหกหรือ สิบเจ็ดแล้ว ที่ฉันเข้ามาอยู่ที่นี่ ไม่ได้เจอสะยาดอมาเกือบสี่วัน เพราะเมื่อวานซืนไม่ได้สอบอารมณ์


วันนี้เป็นไข้อีกแล้ว รู้สึกหนาวตั้งแต่เช้าตรู่ เสียงสวรรค์ ดัง ตึ๊ง ตึง ตึ่ง ตึ้ง ครบ 5 ครั้ง ฉันยังนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มลวดลายสิงสาราสัตว์ บนเตียงที่มีเสาสี่เสาไว้แขวนมุ้งคล้ายเตียงสมัยโบราณบ้านเรา  ฉันมีอาการหนาว ขมในปากมาก แต่ยังฝืนใจลุกขึ้นจะไปล้างหน้าล้างตา ปรากฏว่าพอเท้าแตะพื้นก็เซแซ่ดๆ จึงตั้งสติใหม่ ยืนหนอๆๆๆ แล้วประคองตัวไปถึงหน้าห้องน้ำรวม เหลือบดูนาฬิกาตรงฝาพนัง โอ้โห...หกโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ทุกคนคงรับประทานอาหารกันไปแล้ว นี่ขนาดคิดว่าจะลุกให้ทันมื้อเช้า แต่ก็เลยตามเลย เพราะแค่คิดถึงอาหารมันๆ ทั้งหลายแหล่ ก็ปั่นป่วน ขมปากเพิ่มมากขึ้น (ที่นี่ อาหารอร่อยก็จริง แต่ทุกอย่างจะผัดด้วยน้ำมัน เพิ่งจะมีเมื่อวาน ที่มี น้ำพริกเผ็ดๆ เค็มๆ ปรุงรสเปรี้ยวด้วยมะเขือเทศ โรยหน้าด้วยผักชี ที่ไม่ได้ลงกระทะผัด สมัยอยู่เชียงใหม่ทำกินกันบ่อยๆ พรรคพวกเรียกว่าน้ำพริกไส้แตก เผ็ดจนไส้จะแตกไง)  จึงคิดว่าอดเอาไว้มื้อเพลเลยจะดีกว่า

ล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวเสร็จ ออกมาว่าจะเอาน้ำร้อนที่เครื่องทำน้ำร้อนอัตโนมัติ ตรงห้องโถงเพื่อไปชงชาจีนดื่ม น้ำหมดขวดซะอีก ต้องออกไปรองน้ำจากเครื่องกรอง ที่แม่ชีบอกว่า ใช้มาสี่ปี ยังไม่มีเจ้าภาพเปลี่ยนไส้กรองเลย เพราะต้องเอามาจากเมืองไทย  ขณะรอน้ำให้เต็มขวด แม่ชีเดินมาถามว่าทำไมไม่กินข้าว ฉันบอกว่า ป่วยค่ะ เท่านั้นแหละ ท่านสั่งให้ฉันเดินตามไปเอายาฟ้าทลายโจรที่ห้องท่าน จึงได้หนังสือธรรมะกลับมาอีกพะเรอ บางส่วนเป็นงานที่ท่านเขียน... ดีจริงๆ


วันนี้ ครึ่งวัน ฉันจึงกลับมาพักผ่อนในห้องนอน พร้อมกับการอ่านหนังสือที่ได้มา....ดีจริงๆ ที่ได้อ่าน ยากที่จะบอกเพราะซับซ้อนยิ่งนักในเรื่องราว โดยเฉพาะบันทึกของแม่ชี บางเรื่องฉันไม่สงสัย เพราะฉันเชื่อว่าอะไรๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ หากมีจิตศรัทธาเต็มเปี่ยม


นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้เขียนเรื่องราวของผู้คนที่เอารัดเอาเปรียบกัน งานชิ้นสุดท้าย ที่เขียนเรื่องคนพิการ เสมือนหนึ่งนานแสนนาน ที่สายตา สมองของฉันไม่ได้ทำงานในรูปแบบเดิมอีกต่อไป มันแปรเปลี่ยนไป เช่นนั้นหรือ อารมณ์ที่สงบนิ่งนาน เริ่มแปรปรวนหวั่นไหว เมื่อเริ่มคิดถึงวันที่จะต้องออกไปจากที่นี่ แน่นอนฉันต้องออกไป เพื่อกลับบ้านเกิดเมืองนอน ไปพบกับเรื่องราวต่างๆ ที่คงไม่แตกต่างไปจากเดิมนัก นั่นไม่ใช่ปัญหาที่จะให้ครุ่นคิด แต่ที่ครุ่นคิดก็คือทำไมฉันจะต้องหวั่นไหวกับการออกไป

แน่นอน...ไม่ได้ปรารถนาที่จะอยู่ที่นี่ยาวนาน ไม่มีแรงดึงดูดจากสิ่งใดๆ ทั้งภายในและภายนอกขนาดนั้น แต่ทำไมต้องหวั่นไหว การปฎิบัติกำหนดสติทุกย่างก้าว ต้องมากำหนดรู้ หวั่นไหวหนอ หวั่นไหวหนอ ฉันอยากร้องไห้ คำตอบคือ ฉันอยากร้องไห้ ใช่ ฉันอยากร้องไห้ ความอ้างว้างโดดเดี่ยวจู่โจมเข้ามาอีก นี่อะไรกัน...ฉันปฎิบัติมาตั้งหลายวัน มาพ่ายแพ้แก่ใจตัวเองตอนนี้หรอกหรือ อาการอยู่ก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ดี ไม่ควรเกิดขึ้น ทรมานนัก แต่ฉันต้องไป ไปทำภาระหน้าที่ของชีวิตด้านอื่นๆ ให้เสร็จสมบูรณ์ แล้วฉันจะกลับมาใหม่ มาอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมในการก้าวเข้ามาในโลกของพระพุทธศาสนา อย่างเชื่อมั่นศรัทธาไม่แคลนคลอน จะที่นี่หรือที่ไหน คงไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป เพราะในทุกๆ ที่ฉันได้เคารพนบนอบกราบไหว้แทบเบื้องพระบาทองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสมอ...


18 มิถุนายน


เธอเอ๋ย   ใกล้วันจะกลับ ฉันเพิ่งค้นพบความลับของสำนักนี้ (คือที่จริงมันเป็นความลับไปเสียทุกอย่างนั่นแหละ) อันเนื่องมาจากความเขลา ความอวดดี ถือดีของฉันด้วย เดี๋ยวนี้ฉันทำผิดกฎมากขึ้น คือพูดกับคนอื่นมากขึ้น เปล่าหรอก ฉันเปล่าชวนคุย แต่เขามาชวนฉันคุยเอง โดยเฉพาะเพื่อนรักห้องข้างๆ แม่ชีเวียดนามไง เราคุยกันเรื่องปฎิบัตินี่แหละ แถมยังวิเคราะห์วิจารณ์วิธีปฎิบัติอีกนะ (กรรมจริงๆ)


เอาล่ะ นั่นก็คือสิ่งที่เรียนรู้ ที่ฉันอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนอื่นบ้าง เพราะแม่ชีท่านนี้ ท่านไปปฎิบัติมาหลายสำนักแล้ว ในพม่าแห่งนี้ คงต้องขอไม่เล่านะ ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง


แต่แม่ชีเวียดนามท่านนี้ เล่าเรื่องชีวิตตัวเองอย่าวคร่าวๆ ให้ฉันฟัง นับว่าน่าสนใจ เธอออกจากประเทศเวียดนามในช่วงที่มีวิกฤติ ไปบวชที่อังกฤษ แล้วกลับมาอยู่เวียดนามเป็นบางครั้ง เธอมีอาจารย์ที่เป็นผู้หญิง มีกลุ่มกัลยาณมิตรที่เป็นนักบวชเวียดนาม และมาปฏิบัติที่พม่าอยู่เสมอ เธอยังเอารูปอาจารย์ผู้หญิงของเธอให้ฉันดู  หน้าตาใจดีมาก ใบหน้าอ้วนอูมรูปร่างท้วม อายุไม่น่าจะเกิน 50 ปี แต่แม่ชีบอกว่าท่านอายุเกือบ 70 แล้วค่ะ


ตบท้ายการสนทนา คือเธอชวนฉันไปปฏิบัติกับท่านที่เวียดนามด้วยน่ะจ้ะ...ฉันรับคำชวนทันที แต่ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้ไป


ความย่อหย่อนในการปฏิบัติมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เวลาของการอยู่ที่นี่หดสั้นเข้าทุกที


เวลาส่วนใหญ่ฉันนอนอ่านหนังสือบนเตียง บางครั้งก็ปล่อยความคิดให้ไหลไปเรื่อย ไม่ถึงกับสับสนแต่วุ่นวายพอสมควร  จนกระทั่งคิดขึ้นได้ว่าต้องเก็บข้าวของเสื้อผ้าได้แล้ว จึงลุกขึ้นไปเอาเสื้อผ้าที่ใส่ไว้ในตู้ที่เป็นกล่องยาวๆ แปะติดกับฝาพนังทางด้านปลายเท้า ขณะที่ล้วงสำรวจ กวาดเก็บเอาสิ่งของต่างๆ ออกมาให้หมด เพราะความที่ตู้มันอยู่สูงกว่าสายตา ฉันจึงมองไม่เห็นนอกจากใช้มือกวาดมา สิ่งสุดท้ายที่ติดมือฉันมา คือซองธูปหอมยาวๆ แบบที่ใช้บูชาพระ ในนั้นยังมีธูปเหลืออยู่ ที่ข้างซอง เขียนชื่อยี่ห้อเป็นภาษาอังกฤษว่า ชเว นาธา


ฉันไม่ถึงกับสั่นเหมือนที่เจอชเว นาธา ในครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ ฉันแค่อึ้ง งง มันมาอยู่ได้อย่างไร ฉันไม่เคยรู้จักธูปหอมยี่ห้อนี้ คงเป็นของโยคีคนก่อน พลิกอ่านดู คาดว่า น่าจะแปลว่า ไม้จันทน์หอมทอง เพราะมีภาษาอังกฤษอีกคำ เขียนว่า sandalwood และที่พม่าก็อุดมไปด้วยไม้ชนิดนี้


เรื่องที่แย่เริ่มเกิดขึ้น...ในที่สุด วาระแห่งบุญของฉันก็จบลง ตอนที่เธอโทรศัพท์มาแล้วฉันไปรับโทรศัพท์ที่สำนักงาน  เธอเอ๋ย...ฉันอึ้ง...อึ้งจริงๆ เมื่อเห็นหนังสือพิมพ์รายวันพม่า ฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ทั้งที่พิมพ์เป็นภาษาพม่า ฉันอ่านไม่ออกอยู่แล้ว แต่มีหนึ่งคอลัมน์ ปกหลัง เป็นกรอบการ์ตูน เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ในนั้นมีรูปวาดเป็นทหารไทย แต่งตัวเครื่องเคราแบบทหารสมัยอยุทธยา ยืนอยู่หน้าปืนใหญ่ ที่กำลังเล็งเข้าหาทหารพม่าที่แต่งตัวแบบโบราณเช่นกัน และข้างๆ ทหารไทย มีผู้ชายไทยแต่งตัวสมัยใหม่สะพายกล้อง ในนั้นเขียนว่านักข่าวไทย กำลังยืนเชียร์ให้ทหารไทยยิงทหารพม่า  เท่านั้นแหละ ฉันตาเหลือก เกิดอะไรขึ้น หันไปถามเจ้าหน้าฝ่ายสำนักงานที่มีทั้งหญิงทั้งชายสามสี่คน ทุกคนเงียบปิดปากสนิท กรอกตามองกันไปมา ทำท่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ในบัดดล ฉันชี้ให้ดูในข่าว นี่ไง ฉันอ่านออกนี่ ว่ากำลังด่าทหารไทยกับนักข่าวไทยอยู่ไง ว่าเป็นพวกกระหายสงคราม 

เธอคนหนึ่งจึงค่อยๆ เอ่ยว่า ไม่มีอะไรมากนักหรอก อย่ากังวลไปเลย  ฉันหรือจะเชื่อเธอ ในเมื่อท่าทางพวกเขาทำราวกับเจอเรื่องคอขาดบาดตายขนาดนั้น ฉันจึงโทรไปหาแม่ชาวพม่า ถามว่าเกิดอะไรขึ้น แม่บอกเสียงสั่นว่า อย่าออกจากวัดเด็ดขาด ตอนนี้คนพม่าทั้งประเทศลุกฮือประท้วงรัฐบาลไทยอยู่เรื่องแทรกแซงการเมืองภายในประเทศเขา แต่กลับปลุกระดมสาวไปถึงประวัติศาสตร์ครั้งพระนเรศวร โดยเฉพาะที่เมืองพะโค การประท้วงรุนแรงมาก คนไทยออกไปเพ่นพ่านตามถนนอาจอันตราย


ฉันจึงกลับมาถามแม่ชี ว่าแล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรดี แม่ชีเองความที่ไม่ได้สนใจการเมืองภายนอกนัก คิดว่าปัญหาคงไม่มาก แต่ก็พาฉันไปหาสะยาดอ ขอคำแนะนำ เพราะเช็คข่าวแล้ว ตอนนี้คนไทยที่มาทำมาหากินเป็นนักธุรกิจที่พม่าทยอยกลับเกือบหมดแล้ว สะยาดอว่า เมื่อใกล้กำหนดจะกลับแล้วเลื่อนวันเร็วขึ้นหน่อยเผื่อฉุกเฉินไม่มีเครื่องบินกลับบ้าน  ตกลงเลื่อนเวลากลับเร็วขึ้นอีกสามวัน


โทรไปบอกลาแแม่ ตั้งใจจะออกจากสำนักในวันนั้นแล้วบินกลับ แต่แม่รู้ว่าเคยวางแผนเรื่องออกไปซื้อของกลับบ้าน จึงมารับไปซื้อของในตลาดสก็อต ได้ซื้อของฝากประเภทเสื้อผ้า รองเท้า และที่ย่านตลาดอินเดีย เพื่อดูพวกเครื่องเทศ ฉันชอบตลาดอินเดียบรรยากาศคล้ายๆ ปากคลองตลาดบ้านเรา แต่เครื่องเทศอื้อเลย เดินไปหอมกรุ่นไปหมด แต่นั่นแหละ ไม่อาจเพลิดเพลินได้ เพราะทุกบ้านทุกช่องหน้าต่างของแฟลต (คนชั้นกลาง และชั้นล่าง ในเมืองพม่าจะอยู่แฟลต) จะติดธงชาติปลุกระดมไปทั้งเมือง ฉันอยากจะถ่ายรูปใจจะขาด แต่จำที่แม่ชีบอกไว้ ว่าอย่าถือกล้องชนิดที่ฉันใช้อยู่ เพราะมันคือกล้องของนักข่าว ก็จริงนั่นแหละ...อันที่จริงฉันนี่แหละ ควรโดนเหยียบก่อนเพื่อน ในฐานะนักข่าว (หัวเราะไม่ออกแม้อยากจะหัวเราะ เพราะเคยเขียนสารคดีด่าสล็อคแทนนักศึกษาพม่ามาแล้วจริงๆ)


ขณะที่อยู่ด้วยกันบนรถแท๊กซี่ ฉันถามแม่ว่า คนพม่าชื่อ ชเว นาธา มีบ้างไหม แม่บอกว่า มี แต่เป็นชื่อของคนโบราณ แล้วแปลว่าอะไรคะ แม่ตอบว่า แปลว่าไม้หอมทอง...ตรงความหมายที่สุดเลยใช่ไหม ฉันไม่สงสัยแล้วว่าทำไมฉันต้องเจอกับ ชเว นาธา  แต่สงสารที่เขาต้องทุกข์ทรมานด้วยความโกรธแค้น เพราะขณะที่เขาตาย จิตที่รู้ว่าตนเองกำลังถูกหลอกให้ออกมาตายแทนนั้น ช่างผูกอาฆาตพยาบาทมาเนิ่นนานจนไม่ได้ไปผุดไปเกิด ก่อกรรมผูกพัน เพื่อฉันต้องมาชำระสะสางกันให้หมดสิ้นในชาตินี้


เรื่องเขาอาฆาต...ฉันเห็นภาพ ของการไล่ล่าจากทหารอังกฤษ ที่เราสามคนกำลังหนีตาย แต่แล้วเขาต้องแยกออกไปอีกทาง ตามคำสั่งของใครคนหนึ่ง ที่ตั้งใจส่งเขาไปตายแทน...นั่นแหละคือกรรมที่เรามีอยู่ร่วมกัน ในยุคสมัยที่ไทยใหญ่โดนยึดครอง....(เอาเป็นว่าจบเรื่องวุ่นวายใจ เพราะฉันแผ่กุศล ขออโหสิกรรมกับเขาเรียบร้อยแล้ว เมื่อได้คำตอบว่า ชื่อนี่มีอยู่จริงๆ ในพม่า)


รุ่งขึ้น ท่านสะยาดอให้รถยนต์ของสำนักมาส่งที่สนามบิน แม่ชีท่านกรุณามาส่งจนถึงช่องเช็คอิน เพื่อให้รู้ว่าฉันปลอดภัยแน่แล้ว ที่นั่น ทำให้รู้อีกอย่างว่า แม่ชีเป็นที่รู้จักของพนักงานสนามบินเป็นอย่างดี ในฐานะศิษย์ไทยของเชมเยสะยาดอ  ฉัน...ที่ถูกกำชับให้แต่งชุดโยคีขึ้นเครื่องบิน เพื่อความปลอดภัย ดูตัวเองแล้วขำ ผ้าซิ่นสีน้ำตาลเข้ม เสื้อขาวแขนยาว สะไบสีน้ำตาลเอาออกแล้ว แต่ยังไง ก็ทะแม่งอยู่ดี ยามสะพายเป้หลังคู่ชีพใบใหญ่ที่เร่ร่อนมาหลายแผ่นดิน  แม่ชีคงขัดตาเหมือนกัน จึงบอกว่าคราวหลังใช้กระเป๋าแบบลากสิสะดวกดี  แม่ชี....หนูเพิ่งสลัดคราบฮิปปี้ มาเข้าวัดเองนะคะ จะให้ลากอย่างนั้นคงเขินแย่ ไม่ไหวจริงๆ รับตัวเองไม่ได้หรอกค่ะ   คิดในใจนะ ไม่เถียง


บนเครื่องบิน ผู้คนทั้งไทยทั้งเทศ ไม่ถึงครึ่งลำ ดีนะที่ยังมีเที่ยวบินให้บินกลับได้  จากพม่ามาไทยประมาณสามชั่วโมง ถึงกรุงเทพฯ ทุกอย่างเงียบสนิท ไร้ข่าวคราวเพื่อนบ้านที่ลุกฮือมาเผาหุ่นทหารประท้วง ไม่มีข่าวใดๆ ทั้งสิ้น


เชื่อเขาเลย ประเทศไทย