Skip to main content

โรงเรียนปิดประตู : วันเดินทาง

คอลัมน์/ชุมชน

แม่เคาะประตูปลุกเราตั้งแต่ไก่โห่ พ่อยังหลลับไม่ตื่นเพราะกลับมาได้นอนก็ค่อนดึกไปแล้ว เรื่องปกติที่ผมจะต้องงัวเงียเพราะอยากนอนต่อในวันที่ไม่ต้องไปโรงเรียนหมือนวันโรงเรียนเปิดตามปกติของภาคเรียนทั่วไป

วันนี้เป็นวันแรกของวันปิดเทอม แม่สัญญาว่าจะพาไปเที่ยวและพักผ่อนช่วงปิดเทอมที่บ้านย่า ผมกับพี่จึงต้องรีบตื่นเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมที่จะเดินทางในตอนสายของวันนี้


เราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จตอนพ่อลุกขึ้นมานั่งจิบกาแฟ ดูข่าวภาคเช้าหน้าโทรทัศน์พอดี แม่ก็เร่งพ่อให้รีบเหมือนกับที่เร่งพวกเราสองคนพี่น้องจนตั้งตัวไม่ค่อยติด การบ่นเป็นความสามารถพิเศษของแม่ที่เราคุ้นชินมานาน แม่มักพูดได้ทุกเรื่องจนบางครั้งพวกเราก็รำคาญเหมือนกัน


"เดี๋ยวเที่ยง แดดก็จะร้อน แล้วขนมจีนยายนอมก็จะหมด"
"
ไปกินไม่ทันไม่รู้ด้วยน่ะ"


แม่ตัดบทด้วยประโยคเชิงบังคับอยู่ลึกๆ ถึงเรื่องขนมจีนยายนอมที่เราชอบไปกินทุกครั้งที่ไปบ้านปู่บ้านย่า
"แม่ครับ....ทำไมยายนอมถึงขายขนมจีนตอนเช้าด้วยครับ ก็แถวบ้านเราเขาขายกันตอนกลางคืนนี่?

"
ร้านขนมจีนแถวชนบทก็คล้าย ๆ กับร้านน้ำชา – กาแฟของคนเมืองนั่นแหละลูก คนในหมู่บ้านมีอะไรก็นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง เล่าไปกินไปเหมือนสภากาแฟ มันอบอุ่นดี เรื่องการบ้านการเมืองมีอะไร ก็รู้กันทั่วเพียงชั่วครึ่งค่อนวัน และคนก็ได้อิ่มในมื้อเช้าที่สดชื่นไงลูก และนั่นก็เป็นเหตุผลให้ยายนอมขายขนมจีนตอนเช้า"

แม่มักอธิบายด้วยรอยยิ้มอย่างนี้เสมอเมื่อผมและพี่ถาม


สองข้างทางแต้มแดดยามเช้าสวยใสจนทอประกายสีทองเรืองรองไปทั่วทุ่ง เดือนนี้เป็นฤดูแห่งเดือนเก็บเกี่ยวข้าวของชาวนาในชนบทแห่งนี้ พ่อบอกเราว่า ชาวนาเขาหว่านกล้าตั้งแต่ต้นฤดูฝน เมื่อปลายปีโน่นดูแลรักษามาจนข้าวตั้งท้อง ออกรวงรอวันเก็บเกี่ยวจนวันนี้ที่เราเห็นนี้แหละ


"อ้าว !...ข้าวมันตั้งท้องด้วยหรือพ่อ?"
ผู้ป็นพี่ถาม


"ก็ใช่นะสิลูก....ข้าวก็ตั้งท้อง"
"
เหมือนคนเลยนะ"

คราวนี้เป็นผมเองที่แสดงความคิดเห็นขึ้นบ้าง


"การที่ข้าวสมบูรณ์เต็มที่และพร้อมจะออกรวงโดยเห็นมีปุ่มเล็กๆ นูนขึ้นที่ต้นข้าวซึ่งเป็นส่วนที่จะออกมาเป็นรวงข้าวเกิดขึ้นนั่นแหละ คือ อาการท้องของต้นข้าว และเขาก็เลยเรียกกันว่าข้าวตั้งท้องนั่นไง"


พ่ออธิบายทั้งที่ปกติก็พูดน้อยอยู่แล้วให้เรารู้เรื่องของข้าวตั้งท้อง


"น้ำนมข้าวยังมีเลย"
"
น้ำนมข้าว
?"
ผมทำทีเหมือนเข้าใจแต่แล้วก็ต้องถามต่อ


"ข้าวมันมีนมเหมือนสัตว์ด้วยหรือพ่อ ผมนึกว่ามีแต่คนกับสัตว์เท่านั้นที่มีนม"
พ่อยิ้มหัวเราะผมจนหนวดเกือบจะแหย่ไปทิ่มลูกตาเสียให้ได้


ในเมืองไม่มีนาข้าวให้เราได้ศึกษาและวิ่งเล่น และที่สำคัญครูที่โรงเรียนก็ไม่เคยสอนเหมือนกันว่าข้าวมันตั้งท้องได้ แถมยังมีนมเหมือนๆ กับคนเสียอีก ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมไม่รู้ว่าข้าวมันเป็นอย่างนี้มาก่อน


พ่อบอกให้ทุกคนหมุนกระจกรถลงเพื่อรับอากาศของท้องทุ่งแทนอากาศจากแอร์ปรับอากาศในตัวรถเมื่อข้ามสะพานเข้าสู่หมู่บ้านชนบทที่พ่อเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ก่อนที่จะย้ายไปเรียนในเมืองแล้วอาศัยเป็นศิษย์วัดแถวในเมือง และพักอยู่กับตาหลวงแทน


"น้ำนมข้าวอยู่บนเมล็ดอ่อนของข้าวแต่ไม่ได้เป็นน้ำหรอกนะ"
พ่ออธิบายคร่าวๆ ให้ผมฟังเมื่อรถแล่นผ่านวัดกลางหมู่บ้านไปทางทิศตะวันตก


"อ๋อ..."
ผมเออออไปเพื่อให้พ่อเข้าใจว่าผมรับรู้ทั้งที่เอาเข้าจริง แล้ว ผมไม่รู้เรื่องหรอกว่ามันจะอยู่ตรงไหน ส่วนใดของต้นข้าว เพราะไม่เคยได้เห็นจริงสักที


แม่ชี้มือออกไปนอกหน้าต่างรถ บอกพวกเราว่าบ้านย่าอยู่ท้ายหมู่บ้านโน่น ตรงที่ต้นยางต้นใหญ่สองต้นชูยอดแข่งกันอยู่ให้เห็นตระหง่านอยู่ทางซ้ายมือโน่น พลางหันมายิ้มกับผมที่มุมปาก


พ่อเลี้ยวรถไปทางซ้าย ตรงสี่แยกข้างโรงเรียน ผมเห็นเด็กๆ หลายคนจับกลุ่มเล่นกันอยู่ พ่อบีบแตรรถทักทายเขาอย่างเป็นกันเองทั้ง ๆ ที่พ่อไม่รู้หรอกว่าพวกเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันบ้าง


"รู้จักพวกเขาเหรอพ่อ?"
ผมถามขึ้นหลังจากรถเลยผ่านไปพอประมาณ


"เปล่าหรอกลูก พ่อทักทายตามธรรมเนียม เผื่อวันหน้าวันหลังเขาจะมาเป็นเพื่อน ๆ ของลูกไง"
พ่อของผมพูดออกตัวอย่างมีเหตุผล


พ่อจอดรถตรงบ้านไม้ยกพื้นสูง ชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่ง แคร่ไม้สองตัวตั้งชนกันอยู่ตรงโคนเสาข้างจักรยานคันเก่า ๆ ปูกับย่านั่งอยู่บนแคร่นั้นก่อนที่จะลุกขึ้นมาต้อนรับเราด้วยสายตาและรอยยิ้มที่แสดงความดีใจและอบอุ่น


แม่อบรมเราสองพี่น้องมาตลอดทางว่าอย่าดื้อกับย่า เพราะย่าแก่แล้ว จนมาถึงที่นี่แม่ก็ยังถือโอกาสอบรมเราอยู่เลย
"ลูกอย่าดื้อกับย่านะ ลุกทั้งสองโตพอที่จะไม่เกเรต่อผู้ใหญ่แล้ว"
"
ย่าชอบเด็กดี ส่วนปู่เขาชอบเด็กเรียบร้อย บ่าวต้องดูแลน้องให้สมกับที่ตัวเองเป็นพี่ด้วย อย่าเอาแต่ใจเหมือนที่อยู่กับแม่กับพ่อไม่ได้
...เดี๋ยวปู่ตีให้ไม่รู้ด้วยนะ"


แม่อบรมผมกับพี่ก่อนลงรถที่หน้าบ้านย่าด้วยสีหน้าร่าเริง แล้วหยิบถุงขนมสองสามอย่างที่ซื้อมาจากตลาดนัดหน้าหมู่บ้านติดมือไปด้วย ดูท่าย่าจะดีใจเป็นพิเศษที่ได้เจอเรา ไม่เหมือนกับปู่ที่ดูแล้วเฉย ๆ เสียมากกว่า พ่อรี่ตรงเข้าไปหาปู่ก่อนใครอื่น เห็นพูดกันเบาๆ อยู่ตั้งนานสองนานที่ข้างแคร่ใต้ถุน คงจะเป็นเรื่องของผมกับพี่นั่นแหละไม่น่าจะมีอะไรมากมาย


"ช่วงปิดเทอมคงจะมีอะไรสนุกๆ ให้เด็กได้เล่น ผมก็อยากให้เจ้าน้องกับเจ้าบ่าวได้สนุกสนานตามประสาเลยเอามาฝากไว้เป็นเพื่อนเจ้าบอยมัน"
พ่อพูดถึงชื่อเด็กชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นๆ หูอยู่ แต่ไม่แน่ชัดนักว่าเป็นใครกันแน่ รู้แต่พ่อบอกว่าจะให้เรามาอยู่เป็นเพื่อนกันอย่างไรก็แล้วแต่ผมคิดว่าชักเริ่มสนุกขึ้นมาแล้วสิ


บ้านปู่มีหมาสองตัว ผมชอบหมาตัวสีน้ำตาล ย่าบอกว่ามันชื่อไอ้ตาล ส่วนตัวสีดำ มันชื่อไอหมีเป็นหมาของเจ้าบอยมัน ย่าพูดถึงชื่อเด็กชายคนนี้อีกแล้ว แต่เขาอยู่ไหนนะยังไม่เห็นหน้าเห็นตาเลยตั้งแต่มาถึง