Skip to main content

จดหมายจากนาอ่อน (1)

คอลัมน์/ชุมชน

เย็นวันหนึ่งที่บ้านนาอ่อน
2
มิถุนายน 2550

คุณหญิงที่รัก

ฉันตั้งใจจะชวนคุณหญิงไปบ้านนาอ่อนด้วยกัน แต่เมื่อคุณหญิงไปไม่ได้ก็นับว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่ง ฉันไปกับหลานสาวคนหนึ่ง ซึ่งเดินทางมาเยี่ยมฉันที่เชียงใหม่ และต้องการมาพักผ่อนสักระยะหนึ่ง ก่อนจะเดินทางไปทำงานที่รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา

ฉันชวนหลานสาวไปด้วยกัน เพื่อให้เธอได้เรียนรู้ชีวิต ได้รู้จักชุมชน โดยเฉพาะชุมชนชาวไทยภูเขา ที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน

มีหญิงสาวอีกคนเป็นอาสาสมัครของ มอส. มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม เดินทางไปด้วย เธอมีธุระที่จะไปบ้านแปกแซม ซึ่งห่างออกไปจากบ้านนาอ่อนไม่ถึงสิบกิโล และเธอเป็นคนขับรถที่มีความชำนาญสูงเพราะเส้นทางจากเชียงใหม่ สู่อำเภอเชียงดาวและอำเภอเวียงแหง เป็นทางขึ้นดอยที่สองข้างทางเต็มไปด้วยหุบเหว และทิวเขาที่สวยงาม ยิ่งจากอำเภอเวียงแหงสู่ตำบลเปียงหลวง และบ้านนาอ่อนเส้นทางยิ่งสูงชันและคดเคี้ยววกวน รถที่เราใช้ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ดี คือไม่พร้อมสำหรับการขึ้นภูเขาสูงและช่วงที่เดินทางก็มีฝนตกปรอย ๆ เป็นการเดินทางโดยประมาทแท้ ๆ

ผ่านตลาดเปียงหลวงและวัดฟ้าเวียงอินทร์ วัดที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังว่าเป็นวัดแบบไทยใหญ่ ที่งดงามมาก และในยามเช้าเราก็จะได้เดินเที่ยวตลาดเช้าที่นี่ เป็นตลาดยามเช้าที่มีเสน่ห์มาก ๆ มีของขายจากชาวไทยภูเขาในละแวกใกล้เคียง และอาหารชาวไทยใหญ่ที่อร่อย ๆ เช่นแกงฮังเล ของแท้ของชาวไทยใหญ่ จิ้นลุง และอีกมากมาย ว่าง ๆ ฉันจะเขียนเล่าเรื่องอาหารไทยใหญ่ มีน่าสนใจและน่าลองทำกินมาก ๆ อีกทั้งพวกเข้าของที่ข้ามมาจากชายแดนก็มากมาย ครั้งก่อนที่ฉันเดินทางมาเป็นช่วงที่มีการบวชลูกแก้ว ซึ่งเป็นประเพณีของชาวไทยใหญ่ ที่งดงามอลังกา และสนุกสนาน เรียกว่า "ปอยส่างลอย" บวชสามเณรนั่นเอง มีในช่วงปลายมีนาต้นเมษา ไว้ปีหน้าเรามาด้วยกันก็ได้

จากตลาดเปียงหลวง เข้าไปบ้านนาอ่อนประมาณห้าหกกิโลเป็นถนนลูกรังสูงชันขึ้นไปเรื่อย ๆ

เรามาถึงบ้านนาอ่อนในช่วงเย็น บ้านนาอ่อนเป็นชุมชนขนาดเล็กจริง ๆ บ้านแต่ละหลังมุงหญ้าคา สร้างด้วยไม้ไผ่ เป็นบ้านติดดินชั้นเดียว แม้ว่าอยู่ในป่าแต่ไม่มีสักหลังที่สร้างด้วยไม้สัก หรือเรือนไม้สวยงาม ตรงด้านหน้ามีลานเพียงเล็กน้อยขนาดจอดรถยนต์ได้ไม่ถึงสิบคัน ฉันเปรียบเทียบอย่างนี้คุณหญิงอยู่ในเมืองหลวงคงจะพอนึกออกนะคะ ฉันเรียกตรงนี้ว่าเป็นลานอเนกประสงค์



บ้านเล็กและคอกหมูในป่าใหญ่


เข้าใจว่าเป็นลานที่พวกเขาจะมาเต้นรำกันในช่วงปีใหม่ ชาวลีซูที่อื่น เขาจะมีลานดินสำหรับการเต้นรำในช่วงปีใหม่ มีการทำพิธีกรรมไหว้บรรพบุรุษ

ฉันว่าการไปร่วมงานประเพณีกับกลุ่มต่าง ๆ ทำให้เราเข้าใจในความแตกต่างและยอมรับนับถือกันได้มากขึ้น

ยามเย็นเช่นนี้ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ในหมู่บ้านเลย มีแต่เด็ก ๆ สี่ห้าคนนั่งอยู่ร้านด้านหน้า

เด็ก ๆ ทำท่าจะเดินหนีเมื่อเราเดินเข้าไป แต่เมื่อเราบอกว่า ขอนั่งด้วยคนนะเหนื่อยจัง พวกเขาก็นั่งลงเช่นเดิมและพากันหัวเราะกิ๊ก กิ๊ก

"
หิวจัง มีอะไรกินบ้าง มีผลไม้อะไรไหม"
คนหนึ่งตอบว่า "กล้วย" และหัวเราะกันอีก แต่ไม่นานพวกเขาก็หากล้วยสุกลูกโต ๆ มาให้เรากินได้จริง ๆ

ที่เราบอกเด็กว่าหิวนั้นเป็นเรื่องจริง เพราะเรามัวแต่ตั้งหน้าตั้งตามาให้ถึงหมู่บ้านนี้เพราะกลัวฝนจะตกลงมาอย่างหนักและทำให้การเดินทางลำบากยิ่งขึ้น

ลืมบอกคุณหญิงไปว่า เรามีหนุ่มมาด้วยคนหนึ่ง เป็นคนรูปหล่อเชียวแหละ ชื่อเมา เขาอาสาลงกลับไปตลาดเปียงหลวงเพื่อซื้ออาหาร เพราะเขาไม่ยอมให้เราซื้อระหว่างทางให้เหตุผลว่าขึ้นไปให้ถึงหมู่บ้านก่อน ฉันคิดว่าเขาคงคาดหวังว่าจะมีของกินในหมู่บ้าน เขาหายไปหนึ่งชั่วโมงกลับมาพร้อมกับหิ้วของมาเต็มสองมือแต่บอกว่าลืมซื้อข้าวสาร ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือแกล้งตลก เพราะอย่างไรเสียบ้านนาอ่อนก็ต้องมีข้าวกิน ก่อนเดินทางมาที่นี่รู้มาว่า บ้านนาอ่อนปลูกข้าวได้มากจนเหลือกิน หมู่บ้านอื่นมาซื้อไปกินด้วย

ชาวเขาที่ไหนก็ปลูกข้าวและข้าวของเขาก็มีคุณภาพดี กินอร่อยด้วย หากไปหมู่บ้านไหนและเขามีข้าวมากพอและขาย ฉันก็จะซื้อกลับมากินเสมอ ส่วนใหญ่ข้าวชาวเขาจะเป็นข้าวที่ไม่ปนเปื้อน พื้นดินดีไม่ต้องใส่ปุ๋ย อย่างเช่นข้าวที่บ้านหินลาดใน บ้านแม่คองซ้าย และอีกหลายแห่ง ฉันว่าต่อไปชาวเขาอาจจะเป็นกำลังสำคัญเพราะปลูกข้าวเลี้ยงพวกเราได้ ก็เธอจำได้ไหมที่ฉันเล่าให้ฟังว่า ผืนนาเกือบทุกแห่งเปลี่ยนสภาพไปแล้ว อยู่ใกล้เมืองก็เป็นบ้านจัดสรร อยู่ไกลออกไปรัฐบาลก็ส่งเสริมให้ปลูกยางพารา และพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เรียกว่าปลูกพืชเชิงเดี่ยว

หยุดเรื่องข้าวเอาไว้ก่อน เพราะอย่างไรเสียต้องได้กินแน่นอน ชาวลีซูนั้นเขาถือว่าถ้าแขกมาบ้านต้องต้อนรับให้ดี ต้อนรับแขกดีมีความสุขเขาก็จะดีไปด้วย ฉันก็หวังว่าความสุขของฉันในการอยู่ที่นี้จะส่งผลสู่ความสุขของเขามาก ๆ

มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหาเรา เธอชื่ออาหมี่ และมีชื่อไทยว่าโอ๋
วันนี้เธอไม่ค่อยสบายจึงไม่ไปไร่ และชวนพวกเราไปบ้านเธอ เมื่อคุยกับเธอทำให้ฉันรู้จักหมู่บ้านของเธอมากขึ้น

บ้านนาอ่อนนี้ชื่อเดิมคือ นาอ่อนปาเกี๊ยะ ปาเก๊ยะก็คือป่าสนนั่นแหละ ชาวบ้านเขาเรียกสนเกี๊ยะ หมู่บ้านนี้ ถือเป็นหมู่บ้านบริวารของหมู่บ้านแปกแซม (ป่าเกี๊ยะ) อยู่ติดกับแนวตะเข็บชายแดนไทย-พม่ามีอยู่ด้วยกันแค่สิบสามสิบหลังคาเรือนเท่านั้น มีประชาชน 52 คน เมื่อก่อนพวกเขานับถือผี แต่ตอนนี้หันมานับถือศาสนา คริสต์และพุทธ พวกนับถือพุทธยังนับถือผีได้ด้วยเพราะใกล้เคียงกัน

อาหมี่ยังอยู่ในวัยสาวน้อยแรกรุ่น เราจึงชวนอาหมี่คุยเรื่องความรัก เรารู้มาว่า หนุ่มสาวลีซูมีโอกาสบอกรักกันในช่วงไปไร่ ช่วงปีใหม่ และแต่งงานกับคนเผ่าเดียวกัน เดี๋ยวนี้ยังเป็นเช่นนั้นไหม

สาวอาหมี่อาย ๆ ก่อนจะตอบว่า บอกรักเมื่อไหร่ก็ได้ ชอบกันก็ไปอยู่ด้วยกันก็ได้ "หมั้นไว้ก่อนได้ไหม" หนุ่มเมาถามขึ้น อาหมี่ตอบว่า แล้วแต่สิ แต่งกันเลยก็ได้ คำตอบของสาวทำเอาหนุ่มเมานิ่งเงียบ

ยามเย็นที่นี่มีชีวิตชีวา ผู้คนต่างกลับจากไร่ มีผักมาด้วย เด็กเล็ก ๆ และเด็กหนุ่ม มาเล่นกันที่ลานโล่งด้านหน้า เขาเล่นเกมโดยไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ ไม่มีลูกบาส ลูกบอล นานครั้งที่จะเห็นเกมเล่นสนุกโดยไม่มีอุปกรณ์ ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายกั้นเอาไว้ แต่ฝ่ายหนึ่งต้องฝ่าด่านขึ้นไปให้ได้ เด็ก ๆ ตัวเล็กอยากเล่นด้วยเด็กหนุ่มต้องอุ้มเขา วิ่งไปมาหยอกล้อให้อีกฝ่ายงงเพื่อจะฝ่าด่านขึ้นไป เป็นเกมที่เล่นกันสนุกและยาวนานจริง ๆ



ช่วยแม่เก็บผักก่อนไปเรียน



หลานสาวของฉันปีนี้เธอเรียนจบปริญญาและกำลังจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ เธอเลิกเล่นตุ๊กตาแล้วจึงนำตุ๊กตาจำนวน10 ตัวมาให้พวกเด็ก ๆ

เด็ก ๆ ไม่กล้าเข้ามาเอาตุ๊กตา แต่เมื่อคนหนึ่งกล้า คนอื่น ๆ ก็ตามมา ในที่สุดตุ๊กตาก็หมด เด็ก ๆ ต่างมีความสุขกับการได้ตุ๊กตา เด็กคนหนึ่งพยายามเอารองเท้าใส่ให้ตุ๊กตาเดิน ผู้ใหญ่ที่เห็นก็จะหัวเราะขำ

หลานสาวหัวเราะอย่างมีความสุข เมื่อเห็นเด็ก ๆ เล่นตุ๊กตาของเธอ บางคนหัดให้ตุ๊กตาเดิน บางคนให้นอน บางคนกอดไว้แน่น แน่นอนความสุขเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมดาของคนปกติที่เห็นคนอื่นมีความสุขก็สุขด้วย เห็นคนอื่นทุกข์ก็สงสารแม้ว่าจะหาทางช่วยไม่ได้ แต่ก็ไม่ซ้ำเติมให้เขาทุกข์ยิ่งขึ้น นี่เป็นเรื่องธรรมดาโดยแท้ แต่เรื่องธรรมดาเหล่านี้ทำให้คนอยู่ร่วมกันได้บนโลกนี้

คุณหญิงที่รัก คนบ้านนาอ่อนดูเหมือนจะอยู่กันอย่างสุขสบาย สงบ พวกเขายังชีพด้วยการทำไร่ข้าว ข้าวโพด ถั่ว และเลี้ยงหมูไก่ไว้กิน และไว้ทำพิธีกรรม ข้าวไร่ได้ผลดีพอกิน พวกเขามีชีวิตเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อจริง ๆ บ้านที่ไม่มีอะไรเลย ตู้เย็น พัดลม โทรทัศน์ ไม่มี ดังนั้นพวกเขาไม่รู้จักฉันแน่ ๆ แม้ฉันจะดังกว่าดาราโทรทัศน์ก็เถอะ



เปลนอนของลูก



พวกเขาพูดภาษาไทยได้แต่เมื่อคุยกันเองเขาก็คุยภาษาลีซู เรามีปัญหาในการสื่อสารกันบ้างแต่เมื่อเอาใจเข้าไปพูดคุยด้วยปัญหานั้นจะหมดไป นี่ฉันจำมาจากอาจารย์ท่านหนึ่งที่กล่าวว่า เราพูดและฟังภาษาอังกฤษไม่ได้เพราะว่าเรามัวแต่จะคิดถึงศัพท์และไวยากรณ์ผิดถูก เราไม่ได้พูดและฟังด้วยหัวใจ ฉันคิดว่าเป็นหลักเดียวกันไม่ว่าภาษาอะไร

บ้านของอาหมี่ ค่อนข้างใหญ่กว่าบ้านหลังอื่น แบ่งเป็นสองหลัง หลังเล็กเป็นครัว ลานดินโล่ง ๆ มีเตาไฟเท่านั้น มียกพื้นนั่งกินข้าว อีกหลังเป็นบ้านนอน มีลานดินโล่ง ๆ สำหรับก่อไฟผิง และมีร้านยกพื้นสำหรับนอน ฝาผนังมีพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เมื่อถามว่าได้มาจากไหน อาหมี่ยกมือไหว้และตอบว่า พ่อซื้อพระรูปมาจากเชียงใหม่

เธอเล่าต่อว่าพ่อของเธอเป็นคนกล้า ตอนมีคำสั่งจะย้ายหมู่บ้านออกจากพื้นที่ พ่อเป็นคนหนึ่งที่ร้องขอไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อขออยู่ที่นี่ต่อ และเธอก็เคยลงไปเชียงใหม่เพื่อเรียนรู้เรื่องกฎหมายพื้นฐานที่ควรรู้

ก่อนนอนคืนนั้นทำให้เราได้รับรู้ว่า ชีวิตที่อาศัยทำกินอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เริ่มจะมีปัญหาแล้ว เพราะมีคำสั่งจากรัฐให้อพยพโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น ผู้คนทั้งหมู่บ้านต่างอยู่กันอย่างหวั่นหวาด และไม่มีความมั่นใจในชีวิต

บ้านเล็กในป่าใหญ่จะเป็นอย่างไรต่อไป

สวัสดีจ๊ะ พรุ่งนี้ฉันจะเขียนถึงเธอใหม่

ด้วยความรักที่มีต่อกัน
แพร จารุ
มิถุนายน 2550 


เรื่องราวของชนเผ่าพื้นเมืองเช่นนี้ถ้าคุณสนใจ ไปร่วมงานได้ที่งานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมือง ได้ที่หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ วันที่ 5-11 กันยายน 2550 ชมการแสดง บทเพลง ดนตรี ของแต่เผ่าต่าง ๆ ในเมืองไทย ยี่สิบชนเผ่า ทั้งภาคเหนือ กระเหรี่ยง ลาหู่ ปะหล่อง คะฉิน อะข่า ฯลฯ และภาคใต้ อูรักละโว้ย มอแกน มอแกลน ภาคตะวันออก เผ่าชอง ภาคกลาง ไทยทรงดำ ฯลฯ