Skip to main content

กำแพงของโลกแสนเหงา

คอลัมน์/ชุมชน

เธออยู่ใกล้แค่นิดเดียว

ใกล้กันจนฉันได้กลิ่น ได้ยินเสียง ลอดสายตาผ่านรั้วเหล็กเข้าไป ก็เห็นได้ว่าเธอกำลังอยู่ในโลกตัวคนเดียว มองหาใครไม่เห็น เบียดเสียดตัวเองในมุมหนึ่งของห้องที่อับชื้น และอิงแอบอยู่กับประตูที่ไม่วันเปิดออก


เธอเป็นลูกแมว เธอเป็นสิ่งมีชีวิต เดาว่าน่าจะลืมตาดูโลกได้ไม่เกินสิบวัน ฉันทั้งเขย่งเท้า ยื่นหน้า และยื่นมือผ่านรั้วเข้าไป ฉันเรียกเธอเสียงดัง "เมี๊ยวๆๆๆ" เรียกแล้วเธอก็หันมา สบตาด้วยความรู้สึกนึกคิดของคนแปลกหน้า เธอตอบรับโลกไร้เดียงสา ด้วยแววตาตื่นตะหนก ทั้งหวาดกลัว ใคร่รู้ใคร่เห็น ไม่นานนักเธอก็ร้องตอบออกมา

"
เมี๊ยววววววววว"


เสียงของเธอน่ารักนัก เสียงเล็กๆ แหลมๆ เหมือนเด็กน้อยอันเยาว์วัย ตัวของเธอเป็นสีขาวไปทั้งตัว เหมือนแม่นางเซี่ยวเล้งนึ้งในนวนิยายจีนที่สวมอาภรณ์ด้วยสีขาว ไม่มีสีใดอื่นปรากฏให้เห็น ขนของเธอฟูฟ่อง ยากนักจะเดาไว้ว่าเธอเป็นลูกของใคร ฉันพยายามเงี่ยหูฟัง แม่ของเธอจะมาไหม เดี๋ยวฝนใกล้จะตกแล้ว เธอจะออกไปได้หรือเปล่า ในเมื่อตัวเธอเล็กเท่ากำปั้น แต่ผนังห้องนั้นสูงกว่าตัวเธอนับหลายสิบเท่า แถมยังมีกรงเหล็กล้อมรอบอีกสามด้าน อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่ฉันก็ไม่มีปัญญาจะเข้าไปในห้องนั้นได้


บ้านหลังนั้นเป็นทาวเฮาส์อยู่ติดกันกับบ้านฉัน ตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี่ ไม่เคยพบหน้าเจ้าของบ้านเลย บ้านหลังนั้นจึงเหมือนบ้านร้าง มีประตูที่ล็อกเอาไว้เสมอด้วยกุญแจขนาดใหญ่ หน้าบ้านเต็มไปด้วยต้นหญ้าสูงปกคลุม เมื่อเก็บกวาดขยะไปทิ้งให้แล้ว หน้าบ้านก็ดูดีขึ้น เหลือก็แต่ต้นหญ้า ซึ่งหลายเดือนถัดมา ก็มีคนมาทำความสะอาดพร้อมตัดให้เรียบร้อย ฉันถือโอกาสทักทายและถามเขาไปว่า เพื่อนบ้านคนนี้อยู่ที่ไหน แล้วเขาจะกลับมาอยู่หรือเปล่า


คนทำงานบ้านตอบว่า "เขาไม่มาแล้ว" เธอตอบสั้นๆ บอกว่าที่ทำความสะอาดเพราะเตรียมประกาศขาย เจ้าของอยู่กรุงเทพฯ โทรศัพท์และส่งเงินมาเป็นครั้งๆ

"
เขาซื้อไว้เป็นบ้านพักมั้ง แต่คงเปลี่ยนใจแล้ว"


ฉันรับรู้ได้แค่นั้น และทำใจยอมรับว่า ฉันอยู่ติดกับบ้านร้าง ที่ซึ่งกลายเป็นบ้านพักของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ โดยเฉพาะแมวจรจัดที่มักมาแอบอยู่หลังบ้าน เมื่อหลับพักผ่อนเรียบร้อย พ้นจากสายตาของสุนัข ตื่นมาแล้วก็ไป ไม่มีที่ใครอยากมาพักอย่างจริงจัง บ้านที่ปิดตาย ไม่มีคนดูแล คงไม่อบอุ่นเพียงพอให้ใครได้อาศัย แมวอ้วนตัวหนึ่งที่เดินผ่านไปผ่านมาหลายวันก่อน จึงพอจะคิดออกได้ว่า ที่แท้เธอก็มาพักเพื่อคลอดลูก


แต่แล้วเธอก็ไป แม่แมวหายไปไหน? แววตาของเจ้าแมวน้อยถามฉันอย่างนั้น จากเดิน ส่งเสียง วิ่งวนไปมา เธอก็เริ่มเหนื่อย ซุกตัวนิ่งเงียบอยู่ในมุมหนึ่ง ฉันยับยั้งชั่งใจ ลองคิด และจินตนาการตามว่าเธอจะกลัวฉันหรือไม่ ค่อยๆ เอียงตัวหลบ ไม่ให้เธอตกใจมากไปกว่าเดิม แต่แล้วก็คิดผิดถนัด พอลับสายตาแล้วเธอก็ร้องอีก ร้องเสียงดังราวกับบอกฉันว่า อย่าเพิ่งไปไหน

"
เมี๊ยว"


คราวนี้เธอค่อยๆ ยื่นมือออก ปีนป่ายกำแพงหนาที่ยังไม่รู้จักวิธีปีน เล็บของเธอกางออก ขีดข่วนไปถ้วนทั่วผนัง แววตาจ้องมองอย่างอ้อนวอน ฉันเขย่งตัว เอื้อมไปสุดมือ แต่แล้วเราก็ยังไม่สามารถแม้แต่จะแตะต้องได้


"เธอคงหิวแล้วกระมัง" ฉันคิด เมื่อผ่านจากเวลาเช้าไปจนถึงบ่าย รีบกลับเข้ามาในครัว คลุกข้าวกับปลาทู แล้วยื่นมือผ่านกรงออกไปไว้บนขอบรั้ว


ได้ผล เธอท่าสนใจ ตัวขยับไปมา หากแต่เธอก็เยาว์วัยเกินกว่าจะปีนป่ายขึ้นมากิน ฉันตัดสินใจโยนอาหารลงไป นึกภาพออกได้ว่าอาหารคงกระจัดกระจาย แต่ก็คงเพียงพอให้เธอกินได้ ร่างเล็กๆ ค่อยๆ ขยับมาดมอาหาร ค่อยๆ เลียและกัดกินทีละนิด สัญชาติญาณการอยู่รอด บอกกับเธอว่า ถึงเวลานี้ เธอคงต้องไว้ใจฉัน


ท้องฟ้าเหนือหลังคา ขยับเคลื่อนไหวไปด้วยมวลหมู่เมฆฝน แสงแดดคลายตัวลงและจางหายไปในที่สุด ฤดูของการเกิดใหม่ที่ต้นไม้ร่าเริงกับหยาดฝน แต่คงไม่ใช่เธอ แม้หลังบ้านห้องนั้นจะมีหลังคา แต่บ้านร้างทั้งรั่ว เก่า และไม่อาจต้านแรงลมพายุ เมื่อฝนหยาดแรกตกลงมา ฉันได้ยินเสียงร้องของเธอแผดแข่งกับเสียงฝน

"
เมี้ยวววววววววว"


ไม่มีใครช่วยเธอได้ โลกของเธอมีกำแพงที่สูงใหญ่เกินไป และไม่มีใครช่วยฉันได้ โลกของฉันต่างเคารพกันมากพอที่จะไม่พังบ้านคนอื่นเข้าไป ฉันผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บริเวณหลังบ้าน ทั้งวี่ทั้งวัน เพื่อสอดสายตาไปหาเธอ โยนอาหารผ่านรั้วเหล็ก โยนผ้าลงไป หวังจะให้เธอซุกตัว แต่ทุกอย่างที่เราขว้างโยน ไม่อาจจะคงรูปอย่างที่เราต้องการ แม้กระทั่งกล่องใบเล็กๆ ที่ฉันพยายามคิด ต้องบีบให้เป็นแผ่นบางๆ เมื่อลอดรั้วไปได้แล้ว มันถึงจะกางออกเป็นกล่องได้ ให้เธอใช้หลบฝน


แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามนั้น เสียงใครไม่รู้แว่วเข้ามาในสมอง แผ่วเบาเข้าในไปความคิด บอกเอาไว้ว่า "ทุกคนมีวิถีของตน" ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างพยายามเข้าใจ และคิดเอาว่า บางทีเราอาจจะผยองตัวในความเป็นมนุษย์มากไป ถึงได้ห่วงว่าสิ่งมีชีวิตอื่นนั้นจะทนกับความทุกข์และลำบากได้ไม่เทียบเท่ากับเรา


และแล้วเราก็จากกัน จากกันทั้งที่ยังมองเห็น ผ่านกรงรั้วเหล็กขวางกั้น ช่วยเหลืออะไรกันไม่ได้ ได้แค่ส่งใจให้แม่ของเธอกลับมา ชั่ววินาทีที่แสนเหงาและอ้างว้าง หวังว่าคงจะไม่นานเกินไป หรือไม่ก็สักวันหนึ่ง เธอคงจะเรียนรู้ได้ที่จะออกมาจากที่นั้นด้วยตัวของเธอเอง


ฉันหวังไว้แค่นั้น