Skip to main content

เรื่องเก๊ ๆ

คอลัมน์/ชุมชน

สองสามสัปดาห์ก่อนมีคนมาบอกว่าให้อ่านข่าวเรื่อง "อัยการเกาหลีใต้สั่งสอบ ด๊อกเตอร์ปริญญาเก๊กว่า100" [i] ได้แต่หัวเราะหึหึและไม่รู้สึกแปลกใจนักกับเรื่องอะไรๆที่เก๊ๆ ปลอมๆ ในชีวิตมนุษย์ ยิ่งในเอเชียที่คุณค่าของคนมักขึ้นอยู่กับเปลือกๆ และยึดมั่นกับความไม่มีเหตุผล บนพื้นฐานของอำนาจนิยม อีกทั้งสะใจที่กระแสเกาหลีนิยมค่อนข้างแรงในเมืองไทยทำให้คนไทยมองอะไรๆที่เป็นเกาหลีดีไปหมด แต่เมื่อมีข่าวนี้ออกมาก็พอจะให้คนในสังคมไทยตั้งคำถามและสงสัยความดีจริงของเกาหลี

เดี๋ยวนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน มีคำถามในใจของผู้เขียนว่า "สิ่งที่เราได้เห็นได้ประจักษ์อยู่นี่ มันจริงหรือปลอมกันแน่" ไล่ลงมาจากกระบวนการการสร้างคตินิยม เช่น ระบบการศึกษา ระบบการเมือง ระบบความเชื่อทางศาสนา หาความโปร่งใสจริงๆ แทบไม่มี ยิ่งการศึกษาไทยนี่แล้วน่าขำก็หลายเรื่อง มีข่าวลือกันว่ามีโครงการปริญญาเอกของสถาบันแห่งหนึ่งที่คนเรียนจบแล้วสามารถใช้ ดร. นำหน้าชื่อได้ แต่ไม่สามารถนำไปปรับวิทยฐานะของตนเองได้เพราะไม่ได้เป็นที่ยอมรับของหน่วยงานที่ตรวจสอบคุณภาพพื้นฐาน ด้วยเหตุผลหลายประการ


เรื่องแบบนี้มีมานาน แต่ช่วงหลังที่เมืองไทยคลั่งกระดาษแผ่นนั้น และคำนำหน้านามมากกว่าเดิม ทำให้เกิดกระแสความต้องการขึ้นมา ทั้งๆที่ ถ้าหากว่าผู้ใดไม่ต้องทำงานวิชาการหรือต้องการความรู้ระดับลึกๆในสาขานั้นๆ ก็ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด เนื่องจากไม่คุ้มทุนการผลิตแต่อย่างใด เมืองไทยมีอะไรตลกๆ ให้เห็นเรื่อยๆ และก็ไม่นานมานี้อีกนั่นแหละ มีคนมาเล่าให้ฟังว่ามีอาจารย์สถาบันแห่งหนึ่งไปเสียตังค์ลงทะเบียนเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยอินเตอร์เน็ท เสียเงินไปไม่น้อย ใช้เวลาสักพัก แล้วได้ใบปริญญาเอกมา แล้วก็มีการโชว์อวดกัน นี่ยังไม่รู้ว่าจะเอามาใช้ปรับวิทยฐานะหรือไม่ เพราะสถาบันดังกล่าวก็ค่อนข้างโบราณในหลายๆเรื่อง ผู้บริหารจะเท่าทันกับใบปริญญาแบบนั้นรึเปล่าก็ไม่รู้


นอกเหนือจากค่านิยมถือใบปริญญาเก๋ๆและเก๊ๆแล้ว ก็หนีไม่พ้นเรื่องรถยนต์ยุโรปตราสามแฉก ตราสีฟ้าขาว หรือตราสารพัดที่จะบอกความเป็นรถยุโรปราคาแพง ผู้เขียนเจอเรื่องเด็ดคราวไปช็อปปิ้งที่ศูนย์การค้าและห้างดังแห่งหนึ่งแถวปทุมวัน จึงจะขอเล่าให้ฟัง


ผู้เขียนตั้งใจว่าจะไปซื้อของที่ร้านของเพื่อนที่ศูนย์การค้านั้น คิดในใจว่าไม่ได้เจอกันมานานเผื่อเพื่อนไปแวะร้าน อาจได้เจอ ก็ขับไปที่นั่น เป็นรถปิ๊คอัพดัดแปลงตราญี่ปุ่นแต่ไทยทำ ราคาล้านกว่าๆที่ควักเงินในกระปุกมาซื้อแบบดังหนับเลย และที่ขับเพราะตัวใหญ่ หากนั่งเก๋งธรรมดารถจะเอียงขวาได้ทันที ไม่ใช่เพราะอยากเก๋ซื้อรถเลียนแบบเอสยูวีแต่อย่างใด


ผู้เขียนพยายามหาที่จอดรถ ยามพูดจาไม่รู้เรื่องบอกให้ขับขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงดาดฟ้าแต่ปรากฏว่าไม่มีที่จอดเพราะเป็นที่จัดของต่างๆ จึงขับลงมาที่ชั้น 3 เห็นมีที่จอดแบบเด่นๆตรงนั้น จริงๆวันนั้นที่จอดรถไม่ได้อัตคัดนัก แต่เพราะว่ารถผู้เขียนคันไม่เล็ก และขับถอยเข้าออกในที่แคบๆ ไม่เก่งนัก จึงดีใจที่เห็นที่จอดตรงนั้น พุ่งเข้าไปจอดด้วยลิงโลดใจว่าโชคดีเหลือเกิน


แต่เมื่อจอดเสร็จก็รู้สึกทะแม่งๆ เพราะว่าบริเวณนั้นมีแต่รถยุโรปราคาแพงยี่ห้อที่เน้นสีฟ้าและขาวในวงกลม เตรียมจะเรียกยามมาถามว่าตรงนี้จอดได้แน่นะ ไม่ทันไรยามทำงานดีมาก วิ่งมาหาผู้เขียนแล้วไล่ให้ไปหาที่จอดใหม่พูดให้ได้ยินชัดเจนเลยว่า "ตรงนี้จอดไม่ได้ เค้าจ่ายเงินแล้ว" ผู้เขียนถามว่า "ไม่มีป้ายบอกเลยนะ" ยามคนนี้บอกว่า "ป้ายอยู่ตรงโน้น" แล้วชี้โบ๊เบ๊ออกไป ผู้เขียนงงเพราะไม่เห็นป้ายแต่อย่างใดในแถวๆนั้นเลย แต่ตัดสินใจถอยรถออกเพราะเกรงว่าถ้าจอดตรงนั้นแล้วคงมีปัญหาต่อเนื่องตามมา ในที่สุดผู้เขียนย้ายลงมาอีกชั้นหนึ่ง แล้วเรียกให้หัวหน้ายามมาคุย มาแล้วก็อึกอักไม่เรียกยามคนนั้นมา ผู้เขียนโกรธเป็นที่สุดไม่เข้าใจว่าทำไมต้องโดนไล่ เพียงเพราะไม่ได้ขับรถเศษเหล็กฝรั่งนั่นหรืออย่างไร


ผู้เขียนได้ไปแจ้งทางศูนย์การค้า ปรากฏว่ามีความพยายามที่จะช่วย อย่างแรกคือผู้จัดการฝ่ายขายชั้น3ของห้าง พยายามมาจัดการให้ พยายามตรวจสอบกับยามคนนั้น ยามคนนั้นไม่ยอมรับผิดบอกว่า "จำไม่ได้ว่าพูดอะไร" นี่ยิ่งบันดาลความโกรธและหัวเสียมากขึ้น ผู้เขียนบอกว่าถึงขอโทษก็ไม่มีประโยชน์และไม่รับขอโทษ และขอให้เรื่องนี้ถึงระดับผู้บริหารว่าทำไมบริการได้ขนาดนี้ (ส่วนเรื่องที่ทำไมต้องกั้นรถนั้น ยังไม่อยากพูด เพราะไม่ต้องการให้เรื่องซับซ้อนกว่านี้) ผู้เขียนได้ถูกอัญเชิญไปที่คลับที่พักของห้างที่พยายามให้ลูกค้ารู้สึกว่ามีความพิเศษ มีผู้จัดการอีกคนหนึ่งมาดูแลต่อ และได้รับเรื่องไว้ ผู้เขียนบอกว่าจะขอความกระจ่างและเอาเรื่องถึงที่สุด เพราะการมาเป็นลูกค้าไม่ใช่มาขอเงินจึงไม่สมควรจะได้รับการบริการที่เลวทรามขนาดนี้


ต้องยอมรับว่าบริการของห้างและศูนย์การค้านี้ไม่เลวเลย มีการแก้ไขปัญหาในระดับต้นได้ดี สักพักมีผู้บริหารที่เรียกตนเองว่า "ซีโอโอ" ติดต่อมาทางโทรศัพท์หลังจากที่ผู้เขียนได้ช็อปปิ้งเสร็จแล้ว (หมดไปแค่ไม่ถึงหมื่นในชั่วไม่ถึงชั่วโมง) แจ้งว่าได้จัดการให้แล้ว โดยให้ยามคนนั้นย้ายไปที่อื่น เนื่องจากยามคนนี้เป็นคนงานของซับคอนแทร็คเตอร์ที่มาดูแลความปลอดภัยและการจราจรของที่จอดรถของห้าง ผู้เขียนบอกว่าขอให้ผู้เขียนมั่นใจด้วยว่าผู้เขียนจะปลอดภัยไม่มีการถูกดักทำร้าย ผู้บริหารคนนั้นได้สัญญาว่าทุกอย่างจะโอเค เรื่องจึงจบไปในระดับหนึ่ง


ผู้เขียนได้ฉุกคิดต่อไปขณะขับรถกลับบ้านว่า แล้วทำไมต้องเป็นรถยี่ห้อนั้นๆเท่านั้นที่มีอภิสิทธ์ทั้งที่ไม่มีป้ายบอก จึงโทฯไปที่นั่นอีกครั้งเพื่อถามว่าทำไมต้องเป็นรถยี่ห้อนั้นๆ เผอิญมีเบอร์ของห้าง ไม่ใช่ของซีโอโอจึงฝากถามซีโอโอต่อ วันรุ่งขึ้นได้โทฯไปทวงถามอีกเพราะไม่ได้การติดต่อกลับของซีโอโอ สักพักซีโอโอก็โทฯกลับมา ได้รับการอธิบายว่ามีกิจกรรมที่ฝ่ายการตลาดของห้างได้ทำกับกลุ่มโทรศัพท์มือถือยี่ห้อหนึ่ง และกลุ่มคนที่ใช้รถยี่ห้อดังกล่าว จึงมีการอนุญาตให้จอดรถได้ในที่จอดรถของห้าง ซีโอโอเธอบอกว่าทางห้างได้อนุญาตให้จอดได้แต่ไม่ได้กำหนดที่จอดพิเศษกับคนกลุ่มนี้ เป็นความผิดของยามที่เข้าใจผิดจึงไล่ผู้เขียนไม่ให้จอดเอง (เพราะป้ายที่บอกว่าที่จอดรถสงวนไว้ก็ไม่มี)


ผู้เขียนจึงถามว่า เป็นเพราะว่าเค้าเป็นรถยุโรปหรือไม่ จึงได้รับสิทธิพิเศษ ซีโอโอบอกว่าไม่ใช่ เป็นแค่กิจกรรมการตลาด ผู้เขียนจึงบอกว่าแม้คำตอบนั้นไม่กระจ่างนักแต่พอเข้าใจ ติดใจที่ว่าทำไมต้องเป็นรถยุโรปจึงได้ถาม และที่ถามนี้ก็ดีกว่าไม่ถาม มิเช่นนั้นหากคาดเดาอะไรไปเอง แล้วอธิบายถึงเหตุที่เกิดกับคนอื่นหรือเขียนบทความเล่าเรื่องไม่ครบจะถือว่าไม่ยุติธรรมกับศูนย์การค้าแห่งนี้ การถามข้อมูลตรงๆถือว่าเรายังเป็นเพื่อนกันได้ ไม่ใช่ศัตรู อีกอย่างศูนย์การค้านี้เป็นที่รู้กันในสังคมไทยว่ามีแต่พวกไฮโซกับพวกอยากทำเป็นไฮโซไปเดินเป็นส่วนมาก (ส่วนผู้เขียนนั้นไปเดินเพราะจะไปซื้อของที่ตนเองซื้อเป็นประจำตอนอยู่สหรัฐฯ ไม่ใช่พวกไฮโซแต่อย่างใดเลย) ปัญหาแบบนี้กระตุ้นต่อมอยากรู้ว่าจริงหรือที่ห้างนี้ดูถูกคนจน หรืออย่างน้อยคนไม่ขี่รถยุโรปราคาแพง ซีโอโอจึงเข้าใจเพราะดูเหมือนจะไม่พอใจตอนแรกที่ผู้เขียนต้องการข้อมูล


เหตุการณ์นี้จบลง แต่ผู้เขียนไม่จบในใจ คิดต่อไปว่ามีคนรอบตัวหลายคนที่ไม่ได้รวยอะไรเลยแต่พยายามทำตัวรวย พยายามขับรถหรูหรา แต่เบื้องหลังก็โกงมา บางคนเคยพูดว่า "ฟ้องได้ก็ฟ้องไป ไม่จ่ายหนี้คืนหรอก เพราะไม่มีจะจ่าย" น่าเสียดายที่คนหลายคนคิดถึงแค่เปลือกเก๊ๆ แล้วก็ปล่อยให้ชีวิตหลงไปกับวัตถุนิยมแบบนี้ นอกจากนี้ผู้เขียนเคยพบคนที่ขับรถแพงๆแบบนี้ ไม่มีเงิน ไม่มีสมอง แต่ที่เค้าขับเค้าใช้รถแบบนี้เพราะเค้าเชื่อว่ามันจะช่วยให้คนทั่วไปเกรงใจ ซึ่งอันนี้ผู้เขียนได้เห็นกับตนเองว่าจริงเหมือนกันคนในสังคมนี้ เค้าเคารพคบกันที่ (เหมือนว่า) มีเงิน


ความเก๊ๆคงไม่หนีไปไหนในสังคมไทย คนจริงๆเรื่องจริงๆหาได้ยาก สังคมไทยเดี๋ยวนี้ฉาบฉวยและเก๊ๆกันจนไม่เหลืออะไรกันแล้วจริงๆ ที่แย่กว่านั้นคือเสียดายที่คนรากหญ้าเองก็กลายเป็นทาสเรื่องนี้แบบดิ้นไม่หลุดเสียด้วย ความเก๊ ความบ้าวัตถุเป็นไปตั้งแต่หัวจนหางในสังคมไทยจริงๆ


แล้วคงมีเรื่องมาเล่าให้ฟังกันต่อไปกับสังคมไทยแห่งนี้


------------------------------
[i] http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=276204