Skip to main content

นักแต่งเพลง

คอลัมน์/ชุมชน

เปิ้น เป็นหนุ่มเหนือผิวขาว แต่งตัวสะอาดสะอ้าน เปิ้นมีความรักในศิลปวัฒนธรรมล้านนา และรักเสียงเพลง เขาฝันเป็นนักแต่งเพลง มักแวะเวียนมาที่ร้านตั้งแต่ร้านเก่า เริ่มแรกก็เข้ามาถามว่า ถ้าจะแต่งเพลงต้องแต่งยังไง เขาอยากแต่งเพลงมาให้นักร้องซึ่งเป็นเจ้าของร้านร้อง

แต่งยังไง? ฟังคำถามก็ให้งุนงง เพราะหนึ่งไม่ใช่คนแต่งเพลง ไม่รู้จริง ๆ มองนัยน์ตามุ่งมั่นด้วยความอยากรู้จริงจังของเขาก็อึ้ง ๆ แล้วพยายามค้นหาความจริงในคำถามนั้น เขาอยากรู้อะไร ซักไปมาก็พบว่า เขาจะแต่งเพลงยังไงให้น่าฟัง แต่งเรื่องวัฒนธรรม ศิลปะ สิ่งแวดล้อม เรื่องธรรมชาติของเมืองเหนือ ฯลฯ


เขาหายไปเป็นพัก ๆ แล้วกลับมาหาเรื่อย ๆ พร้อมกับหัวเรื่องราวกับสืบค้นข้อมูลในห้องสมุด แล้วมาถามเราว่า หัวเรื่องไหนน่าสนใจที่จะนำมาแต่งเพลง ฉันก็ไม่รู้จะตอบยังไง และบ่ายเบี่ยงให้เขาแต่งในสิ่งที่เขาชอบ รัก และสนใจ


กลับมาอีกครั้ง เขามาพร้อมกับลายมือที่ไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เขาเขียน แต่เข้าใจจิตใจของเขา ฉันมองคิ้วที่ขมวดเกือบตลอดเวลา สลับกับลายมือที่วางตรงหน้า ความวุ่นวายในชีวิตพลันหายไป เหลือแต่ความสับสนในหัวใจของเปิ้นที่ถ่ายทอดออกมาในแผ่นกระดาษ แรกเห็นฉันนึกถึงตัวอักษรโบราณ หนุ่มแน่นอย่างเขาไปหัดเขียนอักษรพวกนี้มาจากไหนจนเขียนเป็นเรื่องเป็นราวที่รู้เรื่องอยู่คนเดียวได้มากมายเช่นนี้ หรือว่าผีเข้าแล้วเขียน?



ฉันรับแผ่นกระดาษนั้นไว้ แล้วถามว่านี่คืออะไร เขาบอกว่านี่คือเพลง ฉันถามเขาว่าร้องยังไง เขาเงียบไป แล้วขอให้ฉันนำเสนอเพลงนี้ให้เขาด้วย ฉันนำเสนอเพลงให้อย่างที่เขาต้องการ แต่ความจำเป็นในหน้าที่การงานของแต่ละคนก็ทำให้ไม่มีใครสนใจเขานัก เนื้อเพลงที่อ่านไม่รู้เรื่องนั้นเราต่างหยิบขึ้นมองดูแล้ววางทิ้งไว้ จนกลายเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร


********


เปิ้นแวะเวียนไปมาที่ร้านบ่อย ๆ พร้อมกับเดโมเทปเพลงที่เขาแต่ง ซึ่งฟังคล้ายเพลงสวดไม่เป็นทำนอง ไม่เป็นภาษาใดเลย จนพี่นักร้องต้องบอกเขาไปตรง ๆ ว่าอ่านเนื้อเพลงของเขาไม่รู้เรื่องเขาเขียนอะไรก็ไม่รู้ เขาก็ไม่ละความพยายาม เขียนเพลงมาฝากไว้กับฉันจนทุกวันนี้ จนฉันรู้สึกสนิทด้วยและกล้าถามตรง ๆ ว่าเต็มพรืดข้างหน้านี้อ่านว่าอะไร ฉันชี้ไปที่บรรทัดแรก เขาบอกว่านั่นคือภาษาบาลี


อ้าว! แล้วใครจะเข้าใจ เขาบอกก็คำแปลคือใต้บรรทัดนั้นลงมา ฉันมองเหมือนมองภาพตัวอักษรพ่อขุนรามในหลักศิลาจารึก ฉันให้เขาอ่านให้ฟัง ฟังแล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนฟังภาษาต่างประเทศ แต่มีกลิ่นอายของคำเมือง เขาเห็นแววตาว่างเปล่าของฉัน มองฉัน แล้วส่ายหน้านิด ๆ ประมาณว่าอีนี่ทำไมโง่จัง บอกฉันว่านี่เป็นคำเมือง ฉันพยักหน้าอย่างโง่งม หมดปัญญาสื่อสาร ถามเขาไปว่าแล้วจะให้ทำยังไง จะให้พี่เค้าทำยังไง คือตอนนี้เราไม่มีอัลบั้มใหม่ ไม่มีโครงการที่จะทำ ทำไมเธอไม่เอาไปให้คนอื่นดูบ้าง พี่เค้าเป็นนักร้องเค้าไม่ใช่คนทำเพลง และในการทำเพลงก็มีอะไรตามมาอีกมากมาย แล้วถ้าได้เธอจะให้เค้าทำยังไง


เขาเกาหัวนิดนึง อ้อมแอ้มบอกมาว่า อยากขายเพลงให้ ผมอยากได้สตางค์ ฉันถามต่อว่าอยากได้เท่าไร เค้าบอกก็แล้วแต่จะให้ แววตาดวงนั้นหยีลงนิดหนึ่ง ฉันรู้สึกใจอ่อนขณะสมองคำนวณว่าหรือจะให้เงินเขาไป ถ้าให้จะให้เท่าไร แล้วถ้าให้เขาจะเข้าใจผิดว่านี่คืองานที่เขาขายได้ แล้วจะเขียนมาให้ฉันอีกไหม !


ฉันพยายามอ่านตัวอักษรข้างหน้าทีละตัว ว่าควรจะแปลว่าอะไรได้บ้าง



บาลีบรรทัดแรก ทิสชอะสิรีอูกอังฐโสรินอเอียท้าง


คำแปล ก็งานกอทอเนาถัน


ปูมอะดิษฐ์สีลองพู (คำนี้น่าจะคือคำว่า ผู้) อยู่ทุนาบ้านกุมพูปอกท่ามาดิษฐสีนาบ้อน ทิดโพปาลุน แม่นะท๋าวินางทิเรด ปันหมู่รายเมิงฉายร้องบอกผ่านวิถีโบมะสุนาเมิง อันชูยอดก๋อนิสากันนู วัดเอี่ยมอย่างได้ก๋างจ้อง เชียมแต่งก๋อนโอย


ขณะโลดแล่นไปในคำพิสดารพันลึกเหล่านี้ จิตใจฉันพลันสงบอย่างประหลาด สมาธิสั้น ๆ ในตัวฉันนั้นกลับอยู่นิ่ง ๆ ลัดเลาะไปในพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์แปลกหน้า ที่รวมกันแล้วไม่สื่อความหมายทางภาษา หากสิ่งที่ฉายออกมาท่ามกลางอักษรเหล่านั้น คือความฝันของชายคนหนึ่งที่มุ่งมั่นเขียนมันออกมา


"แล้วร้องยังไง" ฉันถาม เขาทำหน้ารำคาญนิด ๆ บอกว่า ก็เป็นเพลงเมือง ฉันย้ำอีกว่านั่นสิแล้วร้องยังไง มีแต่กระดาษกับตัวหนังสือแบบนี้ เมโลดี้เป็นยังไง คิ้วขมวดเข้ามาอีกนิด ชี้ไปที่ท้ายหน้ากระดาษบอกว่า



"ก็ผมเขียนคอร์ทไว้ให้แล้วนี่ไง ตัวแรกเล่นไปตัวหลังตาม นักดนตรีเขารู้ เขาเห็นแค่นี้เขาก็เล่นได้ ร้องได้แล้ว"


**********



แอ๊ว...จับอิดนึ้งแมวอ้วนมองมาด้วยสายตารำคาญพวกมนุษย์ ก่อนเธอจะเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวด เอาหัวถูขาฉันนิดนึง แล้วจ้องมาเพื่อบอกว่า ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ หาใช่ตัวหนังสือไม่