Skip to main content

ความเกลียด



บ่อยครั้งที่ชีวิตของผม
มักจะตกอยู่ในสถานะอยู่กึ่งกลางระหว่างคนสองคนที่สนิมสนมชอบพอกับผม แต่ทั้งคู่กลับเกลียดกันด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเป็นการส่วนตัว บางคู่เคยเกลียดกันมาก่อนที่ผมจะรู้จักและยังคงเกลียดกันอยู่ บางคู่เคยชอบพอกันมาก่อนในขณะที่ผมรู้จัก แต่ต้องมีเหตุมาเกลียดกันภายหลัง สถานะที่ต้องอยู่กึ่งกลางระหว่างคนสองคนที่เกลียดกัน แต่ต่างยังสนิทสนมชอบพอกับผม ทำให้ชีวิตของผมอึดอัดยุ่งยากในการมีความสัมพันธ์กับคนทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง...


พูดง่าย ๆ ว่า
ยิ่งเขาเกลียดกันมากเท่าไหร่...ผมก็ยิ่งอึดอัดยุ่งยากใจมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะคู่กรณีที่จงเกลียดจงชังถึงขั้นประกาศไม่เผาผีกันและกัน เวลาผมบังเอิญหรือมีความจำเป็นต้องพบปะพูดคุยกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่มีคนอื่นเป็นคนที่สามอยู่ร่วมด้วย แต่ละฝ่ายมักจะอดไม่ได้ที่จะระบายความเกลียดคู่กรณีด้วยการทำร้ายกันทางวาจา ด้วยการนินทาว่าร้ายกันตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ  น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่โต หรือไม่ก็ขุดคุ้ยเรื่องที่ไม่ดีงาม - ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของกันและกันมาเล่าให้ผมฟังแถมยังพยายามโน้มน้าวผมให้เข้าไปเป็นแนวร่วมในการเกลียดคู่กรณี...


ผมไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เพราะโดยส่วนตัวผมไม่ได้เกลียดใคร และไม่เคยคิดจะเกลียดใคร...ด้วยเหตุผลเพียงแค่มีคนชวนให้เกลียดตามเขา เมื่อตกอยู่ในภาวะที่อึดอัดยุ่งยากนี้ ผมจึงได้แต่ยิ้มแห้ง เออ ๆ ออ ๆ ครับ ๆ ผม ๆ คล้อยตามเขาไป ...เพื่อให้เขาสบายใจ โดยไม่แสดงความเห็นใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ และระมัดระวังที่จะไม่ทำตัวเป็นไอ้ด่างคาบคำร้าย ๆ  ของแต่ละฝ่ายไปบอกกันและกันเพราะถึงแม้เขาจะเกลียดกันอย่างเข้ากระดูกดำ แต่เขาก็เป็นคนที่ผมชอบพอด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงไม่อยากให้คนที่ผมชอบ...เกลียดกันมากกว่านี้


และที่ต้องระมัดระวังอย่างถึงที่สุดถึงขั้นต้องห้ามก็คือ ห้ามปริปากไปพูดให้เขาเลิกเกลียดกันอย่างเด็ดขาด เพราะผมเคยมีประสบการณ์ในการพูดไกล่เกลี่ยให้คนที่ชอบพอกับผมแต่เกลียดกัน...ให้เลิกเกลียดกัน ด้วยความปรารถนาดีมาหลายคู่ เพราะคิดแบบเชย ๆ เอาเองว่า อยากจะเห็นโลกนี้มีแต่คนรักกัน...พบปะกันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสเข้าหากัน มิใช่เจอหน้ากันทีไรก็แยกเขี้ยวหากัน และกัดกันลับหลัง แต่ผลกลับปรากฏว่า ...ความปรารถนาดีของผมกลับกลายเป็นความปรารถนาร้าย ( ฮา ) เพราะทุกคู่กรณีที่เกลียดกันอยู่แล้ว - ต่างก็หันหน้ามาเกลียดขี้หน้าผมเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งในโลกของความเกลียด


นั่นแหละ - ผมจึงได้รู้ว่าคนที่เขากำลังเกลียดกันและกำลังรักกันอยู่ ถึงแม้ค่าของความสัมพันธ์จะแตกต่างเหมือนขาวกับดำ แต่ก็แปลก...ที่ยังอุตส่าห์มีบางอย่างเหมือนกันอยู่นั่นคือ - ตราบใดที่เขายังเกลียดกันหรือยังรักกันอยู่ ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ไม่มีใครมีสิทธ์ไปบอกให้เขาเลิกกันได้หรอกครับ ถ้าเขาอยากจะเลิกเขาก็เลิกกันกันเอง เพราะมาถึงขั้นนี้แล้วมันกลายเป็นเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวของใครของมัน ไม่ใช่เรื่องที่บุคคลที่สามควรจะส.ใส่เกือกเข้าไปวุ่นวาย อย่างที่ผมได้รับบทรับเรียนมาด้วยความงุนงง...


นอกจากเรื่องที่อึดอัดยุ่งยากเป็นบ้านี้แล้ว
ถ้าหากคู่กรณี - ต่างพยายามคาดคั้นเอาคำตอบจากผมให้ได้ ว่าแต่ละฝ่ายพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง ผมก็จะให้คำตอบที่ผมคิดเอาเอง ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่เป็นความจริง แต่ก็สามารถทำให้คนทั้งคู่นึกแปลกใจเหมือนกันว่า เอ๊ะ! ไอ้หรืออี...นี่มันเสือกพูดถึงกูลับหลังในแง่ดีได้ยังไงว่ะ ( ฮา ) ครับ - ความพยายามของผมที่พยายามรักษาความสัมพันธ์ ระหว่างตัวผมกับคนทั้งสองที่ชอบพอกับผมแต่เกลียดขี้หน้ากัน ตามที่ผมเล่ามา ภาษิตทางล้านนาเขาเปรียบเปรยพฤติกรรมอันยากยิ่งแบบนี้เอาไว้ว่า


" กบบ่หื้อเกี๊ยด เขียดบ่หื้อต๋าย "
แปลเป็นภาษากลางตรงตัวได้ใจความว่า
" กบไม่ให้โกรธ เขียดไม่ให้ตาย "

ซึ่งตรงกับภาษิตภาคกลางที่ว่า " บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น " ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแสนยากที่จะทำได้ และถ้าไม่จำเป็นจริง ๆอย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า เรื่องดี ๆ ที่เป็นเรื่องสร้างสรรค์ในโลกนี้มีอยู่มากมาย ทำไม..เราต้องไปเสียเวลาอันมีค่าให้กับคนที่เกลียดกัน และคิดแต่ทำลายกัน ผมไม่เล่นด้วยหรอกครับ ผมเบื่อ...และรู้จักมันมาเพียงพอแล้วความเกลียดที่น่าเกลียด.


16 กันยายน 2550
กระท่อมทุ่งเสี้ยว เชียงใหม่