Skip to main content

ลมหายใจของฤดูกาล

คอลัมน์/ชุมชน

ฝนยังคงตกอ้อยอิ่ง
คล้ายเพลงช้าบางเพลง – ที่อนุญาตให้ขับขาน รอบแล้วรอบเล่า  เมื่อจบก็เล่นใหม่ ฝนไม่ได้น่าเบื่อ เพลงก็ไม่ได้น่าเบื่อ  แม้กระทั่งใครบางคนที่นึกเกลียดฝนจนเข้าไส้ เธอก็ยังมีแก่ใจบอกว่า "สุดท้ายเราก็อยากให้มันตก"


ฤดูฝนปีนี้ไม่หนักหนา บางคนบอกฉันแบบนั้น ตลาดนัดวันอาทิตย์หน้าวัดของชุมชนเล็กๆ จึงคักคึกเสมอ แม้จะอยู่ในฤดูฝน บ่ายกว่าๆ ที่พวกเขาหอบข้าวของมาจับจองที่เดิม ลานดินหน้าวัดที่ไม่ต้องมีป้ายตลาด ไม่มีชื่อผู้จับจอง ใครมาก่อนก็วางก่อน ส่วนใหญ่เว้นที่ให้แม่ค้าหน้าเดิม  หลับตาก็นึกได้ ว่าผักหมูอยู่ตรงไหน ของใช้ ของกิน ปลา ไข่ อาหารสดแห้ง หรือขนมพื้นบ้านไทยๆ ที่หาซื้อได้ยาก ลิ้มรสชาติในอดีตวัยเยาว์ได้ในราคาไม่กี่บาท กินแล้วก็มีความสุข

แต่ไม่ดีเลย - ไม่ดีเลยที่ฝนตก ฉันคิดแบบนี้ ดูแววตาละล้าละลังของแม่ค้าที่หอบของมาแล้วหยุดนิ่ง เงยหน้ามองฟ้าฝน หันไปสบตากัน รำพึงรำพันเท่าที่จะปรับทุกข์กันได้ ตลาดเคลื่อนที่ไม่มีหลังคา ข้าวของอยู่ในลัง ในกล่อง ถุงพลาสติก ร่มหลากสีกางแล้วหุบ หุบแล้วกาง ฝนเอาแน่ไม่ได้ เหมือนจะซาแล้วให้คนดีใจ พอกางแผงขายของก็ตกลงมาอีก


ตกแล้วหยุด
หยุดแล้วก็ตก
ตกเบาๆ พรำสายในอากาศ
ช้า – อ้อยสร้อย – อ้อยอิ่ง – วูบหนึ่งนั้น การรอคอยของชุมชน กลับทำให้คนหันหน้ามาคุยกันมากขึ้น


"หนูมารอซื้ออะไร"
เขาถามฉัน ขณะอิงแอบอยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ไปด้วยกัน
"มารอซื้อปลาทูค่ะ"
"อ๋อ ใช่ๆ เห็นมาซื้อทุกอาทิตย์นี่ ดีนะเจ้านี้เขาทำเอง รับปลามาก็นึ่งเอง ปลาทูก็สด ขายถูกด้วย เพราะไม่ได้รับสำเร็จมา"

คุณยายอ้างอวดสินค้าของแผงข้างๆ ขณะที่ยังไม่เห็นวี่แววของปลาทู ฝนตกแบบนี้สงสัยยังไม่ออกจากบ้าน ฉันนึกไปถึงใบหน้ากวนๆ ของแมวที่บ้าน หรืออาทิตย์นี้จะไม่มีอาหารโปรดกลับไปให้


"แล้วน้าขายอะไรคะวันนี้"
ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นแม่ค้าขายผัก  แต่ว่าในแต่ละละอาทิตย์  ผักของแกไม่เคยซ้ำกัน บางครั้งก็มีดอกแคกองใหญ่ กองละ 5 บาท ถัดมาเป็นมะเขือพวง กองละ 3 บาท  มะนาวในยุคราคาแพงแต่แกขายทั้งกอง 5 บาทเช่นเดิม อาทิตย์ก่อนนี้มีลำไย มัดละ 10 บาท ซื้อ 2 พวงแถมด้วยผักบุ้งอีก 1 กำ


"อาทิตย์นี้เหรอ มีดอกขี้เหล็ก กับผักบุ้ง นี่ไง"
แกทำหน้าดีใจ รีบชี้ๆ ให้ฉันดูข้าวของในถุงพลาสติกห่อใหญ่ ดอกขี้เหล็กสีเหลืองกลม ถูกมัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ


"น้ามีของไม่ซ้ำกันเลยนะคะ" ฉันเอ่ยถามไปตามคิด แกยิ้มตอบมาอย่างภาคภูมิใจ
"ใช่แล้วล่ะ เพราะว่าของที่เอามาขายเป็นของปลูกเองทั้งหมด เราไม่ได้รับเขามาเหมือนเจ้าอื่น บ้านเรามีอะไรออกก็เอาอันนั้นมาขาย น้าเองก็ตอบไม่ได้หรอกนะว่าอาทิตย์หน้าจะมีอะไรมาบ้าง"
"อ๋อ อย่างนี้นี่เอง"
ฉันตั้งใจฟัง ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน


"แล้วนี่นะ ดูสิ" แกเริ่มแกะถุงพลาสติกแล้ว ทั้งที่ฝนยังโปรยอยู่ไม่ขาด
"อันนี้เป็นหน่อไม้นะ ไม่ค่อยสวยเพราะเราไม่ได้คัดอะไร ก็เอามานึ่งเรียบร้อยมัดไว้ตั้งแต่เช้า ส่วนผักต้มนี้เอาไปยำได้เลยนะ ทำมาเรียบร้อยเช่นกัน ผักบุ้งนี่เราไม่ใช้ยาฆ่าแมลงเลยนะ งามแบบธรรมชาติ"


แกโอ้อวดสรรพคุณอย่างร่าเริง ฉันพลอยสนุกสนานไปด้วย จะว่าไปแล้ว เราก็เห็นหน้ากันบ่อยๆ แต่ไม่เคยได้พูดคุยกัน เพิ่งรู้ว่าบ้านแกห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร เป็นบ้านหลังนั้นที่ฉันผ่านบ่อยๆ บ้านที่ปลูกผักสวนครัวไว้เต็มพื้นที่ แทบไม่มีผืนดินเหลือ


"หนูทำกับข้าวกินเองหรือเปล่า"
น้าผู้หญิงถามอย่างห่วงใย
"ใช่ค่ะ ทำกินเองส่วนใหญ่ นอกจากขี้เกียจจริงๆ ก็ออกไปซื้อ"
"งั้นนี่เลยเดี่ยวน้าให้ยอดขี้เหล็กไปแกงอร่อยมาก"
"เอ่อ แต่ว่ามันขมไม่ใช่เหรอคะ"

ฉันทำหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ ถึงแม้จะกินไม่ถอยกับอาหารพื้นเมืองทั้งหลาย แต่ถ้าหากขมมาก ก็ใช้วิธีผสมกันเอากับผักชนิดอื่น กินได้บ้าง ไม่ได้บ้าง


"งั้นหนูซื้อผักบุ้งดีกว่า แต่ไม่รีบนะ น้าอย่าเพิ่งแกะเลย เพราะยังวางไม่ได้"
ฉันนึกห่วง มองไปรอบๆตัว เห็นแม่ค้าหลายคนเริ่มกางแผงออก ฝนมีท่าทีจะหยุดแล้วจึงค่อยใจชื้น


หันกลับมาอีกครั้ง  คนตรงหน้าแกะห่อพลาสติกออกหมดแล้ว หยิบผักบุ้งให้ฉันพร้อมกับดอกขี้เหล็ก
ฉันรีบส่ายหน้า

"เอ่อ เอาแต่ผักบุ้งก็พอค่ะ"
"เออ น่า ลองดู น้าแถมไม่เป็นไรหรอก"
"แหม เพิ่งจะวางเอง แถมซะแล้วไม่ดีมั้งคะ"
"โอ้ย ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร อย่าไปถือเคล็ดมาก"
แกโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน ฉันจนปัญญาจะปฏิเสธ ได้แต่เตรียมล้วงเงินในกระเป๋าออกมา ขณะที่แผงของแกยังดูไม่เป็นแผงดีนัก


เงยหน้าไปมองฟ้าอีกที ที่ไหนได้ ได้ยินเสียงร้องโวยวายจากหลายๆคน เมื่อหยาดฝนกระหน่ำลงมาอีกอย่างหนัก


"เอ๊า! ตกอีกแล้ว"
เสียงชุลมุนดังขึ้น ผู้คนรีบเก็บข้าวของ เสียงฟ้าคำถามและฝนที่หนาหนักลง ฉันเก้ๆ กังๆ ยื่นมือไปช่วยแม่ค้าเก็บข้าวของ ยื่นเงินให้ แล้วรอเงินทอน น้าคนเดิมกำลังยัดทุกอย่างลงถุงพลาสติกใบเดิม พร้อมหยิบหมวกขึ้นมาสวม


"จะอะไรกันนักหนาน๊อฝนนี่" เธอรำพึง ทำเอาฉันหน้าเสียไปด้วย
"นั่นสิคะ ลำบากกันหมดเลย แย่จัง"
ฉันพูดด้วยความรู้สึก นึกรำคาญสายฝนขึ้นมา กับภาพที่เห็น
หากแต่แล้ววินาทีนั้น ฉันก็ได้รู้ว่า บางอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไปนัก


แม่ค้าใจดีเงยหน้าขึ้นมามอง เม็ดฝนพร่างพรมเต็มใบหน้า เส้นผมชื้นและมีเกล็ดฝนกระจายไปถ้วนทั่ว มือที่ผ่านการเพาะปลูกมาตลอดชีวิต ยื่นเงินทอนมาให้ฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่ากว้าง


"อย่าไปโทษฟ้าฝนมันเลย เพราะฝนตกตามฤดูกาลนี่แหละ น้าถึงได้มีผักมีหญ้ามาขาย ถึงปลูกไว้ไม่ขายเราก็เลี้ยงชีวิตได้ กินอยู่กับฤดู ไม่เจ็บไม่ไข้"


เป็นประโยคที่ชัดถ้อยชัดคำ คนของฤดูกาลที่พึ่งพิงกับสิ่งของธรรมชาติ ฉันไม่อาจตัดสินได้ ว่าที่แกพูดไปจะถูกต้องสำหรับทุกคนหรือเปล่า


รู้เพียงแต่ว่า แม่ค้าขายข้างๆ เงี่ยหูฟัง แล้วมองไปมา ระหว่าง เห็ดป่า กบ เขียด และลูกหว้า ที่วางนิ่งอยู่ในตะกร้านั้น เพื่อรอเวลาขาย


แต่แล้วแกก็หันมายิ้ม ยิ้มทั้งดวงตาที่พร่าพรายอยู่ในฤดูกาลของสายฝนนั้น