Skip to main content

"เสียงของใครที่กลบรอยยิ้มหญิงคนหนึ่งลบหายไป"

คอลัมน์/ชุมชน

เช้าแห่งวันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ผู้เขียนและน้องสาวไปถึงคิวรถตู้จากปากเกร็ดปลายทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานที่ประจำทุกเช้าในวันทำงาน ผู้เขียนได้ส่งยิ้มทักทายกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรอแถวก่อนหน้าเรา แม้ว่าเราทั้งคู่จะไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนก็ตาม…


น้องสาว: "พี่ ๆ วันก่อนนะมีผู้ชายคนหนึ่ง เขามาที่คิวรถตู้ทีหลังหนูนะ แล้วจู่ ๆ เขาก็เดินมาพูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนรอแถวก่อนหน้าหนู แล้วผู้ชายคนนั้นก็แทรกแถวขึ้นรถตู้ไปก่อนคนอื่น ๆ ที่รอแถวอยู่เฉยเลย"


ผู้เขียน : "อ้าว..แล้วไม่มีใครว่าอะไรเค๊าเลยเหรอ"


น้องสาว :"หนูคิดว่า คงไม่มีใครกล้าบอกเขาหรอกพี่…หนูยังอายแทนเขาเลย"


ผู้เขียน : "เฮ้ย…งั้นเราก็ปล่อยให้คนละเมิดสิทธิเราได้อย่างถือเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนเรื่องอื่นๆ ไปแล้วสิ มิน่าคนจึงทิ้งขยะกลางถนน เด็กผู้หญิงจึงถูกลากจากรถเมล์ไปข่มขืน โดยไม่มีใครทำอะไร เพราะเราคิดว่า ช่างมันเถอะ (แม้ในใจจะรู้สึกไม่พอใจมาก เจ็บปวดมาก) …สังคมเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปจริง ๆ นะ คนทำผิดไม่รู้สึกอาย แต่คนอื่น ๆ กลับอายแทน"


เมื่อการสนทนาระหว่างเราพี่น้องจบลง ผู้หญิงคนที่ส่งยิ้มตอบเรา ได้เดินออกไปจากแถว ตอนแรกผู้เขียนเองนึกว่า เธอคงจะยืนรอรถตู้นานมากแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นแท็กซี่ หรือเปลี่ยนใจไม่ไปแล้ว แต่ปรากฏว่าประมาณ ๕ นาทีหลังจากนั้น เธอเดินกลับมาต่อแถวด้านหลัง (ซึ่งมีคนมารอแถวใหม่อีก ๗ - ๘ คน) พร้อมกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งผู้เขียนคาดเดาจากท่าทีว่าคงเป็นแฟนกัน


จากระยะห่างไม่มากนัก และด้วยเสียงสนทนา เอ..หรือจะเรียกว่าเสียงตะคอกอันดังของผู้ชายคนนั้น ประกอบด้วยท่าทีฮึดฮัดโกรธจัดแบบหัวฟัดหัวเหวี่ยง


ผู้ชาย : "ใครมันพูดอะไรจะไปสนใจทำไม กลัวมันทำไม นี่เลยต้องเสียเวลารอรถอีกนาน"


ผู้หญิง : "…"
(เสียงเบามากจนผู้เขียนไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไร แต่ดูจากท่าที ผู้เขียนคิดเองว่า เธอคงจะพยายามอธิบายให้แฟนเข้าใจเรื่องมารยาท หรือไม่ก็พูดให้นึกละอายใจและเกรงกลัวต่อบาปบ้าง อิอิ)


ผู้ชาย : "ไหน คนไหนที่มันพูด" (เสียงผู้ชายชักดังขึ้นๆ พร้อมๆกับใบหน้าผู้หญิงที่ก้มต่ำลง)


ผู้เขียนจึงหันหน้าไปจ้องตาผู้ชายคนนี้ทันที และท่าทีเตรียมคุยด้วยทุกเมื่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะดูท่าผู้เขียนจะเอาจริง หรือเพราะสายตาแทบทุกคู่ของคนที่ยืนรอรถตู้ได้พุ่งตรงไปที่เขา น้ำเสียงที่ตะคอกใส่แฟนจึงเบาลงมาก จนผู้เขียนไม่ได้ยินว่า เขาพึมพำอะไร และเขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย


จากเหตุการณ์วันนี้ ผู้เขียนอยากบอกกับทุกคนที่อ่านบทความเรื่องนี้ว่า หากเรากล้าที่จะบอกความรู้สึกของเรา หรือขอความช่วยเหลือดัง ๆ เมื่อถูกผู้อื่นกระทำ หรือล่วงละเมิดสิทธิใด ๆ ของเราได้ สถานการณ์ความรุนแรงของการใช้อำนาจในพื้นที่สาธารณะได้อย่างไม่รู้สึกสำนึกผิดคงจะลดลง


สุดท้ายผู้เขียนได้หันกลับไปมองสบตาผู้หญิงคนนั้นอีกครั้ง


ผู้เขียนอดที่จะตั้งคำถามในใจไม่ได้ว่า เพราะเสียงของเรา หรือเสียงของเขา จึงทำให้รอยยิ้มของเธอลบหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงใบหน้าที่หม่นเศร้าและรอยวูบไหวของน้ำตา