Skip to main content

สี่ตีนยังรู้พลาด

คอลัมน์/ชุมชน




บางช่วงเวลาฉันก็ทำตัวตัดขาดจากโลกภายนอก ปิดโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ ไม่ดู ไม่อ่าน ไม่ฟัง เรียกว่าปิดหูปิดตาจากข่าวสารทั้งปวง การเสพข้อมูลมากไปในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สมองฉันชาและอื้ออึงไปด้วยเรื่องราวที่ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว

แต่ค่ำวันหนึ่ง หลังมื้ออาหารที่เพื่อนสี่ขาทั้งหมาแมวพากันหลับอุตุกันด้วยความอิ่มและความเย็นหลังฝนตก เสียงร้องอ๊บๆ รอบบ้านทำให้ฉันรู้สึกรื่นเริงอยากออกนอกกะลา จึงเปิดวิทยุ ปรากฏว่าเป็นรายการเพลงลูกทุ่ง และที่กำลังเจื้อยแจ้วอยู่เป็นเสียงของไหมไทย ใจตะวัน ชื่อเพลง "น้องมากับคำว่าใช่"


อุ๊ย รู้ได้ไงว่าใช่ ฉันคุยกับวิทยุพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพลงต่อไปก็ยังยิ้มได้อีก เสถียร ทำมือ บอกว่า "เจ็บเมื่อไหร่ก็โทรมา" จ้า จ้า แล้วจะโทรไป ว่าแต่เบอร์อะไรทำไมไม่บอกนะ


ยิ้มยังไม่ทันหุบ เพลงต่อไปก็ตัดพ้อกันเสียแล้ว "รอสายคนใจดำ" ของศิริพร อำไพพงษ์ เฮ้อ ฝ่ายหนึ่งบอกให้โทรไป อีกฝ่ายก็รอให้เขาโทรมา แล้วเมื่อไรจะได้คุยกันล่ะนี่ โลกเราก็เป็นอย่างนี้ บางทีก็หาความพอดีได้ยาก


ถ้าคนเรารู้จักพอดีกันง่ายๆ พวกสี่ขาทั้งหลายคงไม่ต้องถูกทิ้ง ฉันก้มมองหมาๆ ที่นอนตาปรือฟังวิทยุอยู่ใกล้ๆ อย่างเห็นใจในชะตากรรมของพวกมัน


ลองเปิดโทรทัศน์ดีกว่า เผื่อว่าจะเจอความพอดีบ้าง


เป็นช่วงของสะเก็ดข่าวทางช่องเจ็ด เหตุเกิดริมถนนแถวพุทธมณฑล คนเลี้ยงวัวเผลอแวบเดียว วัวชื่อนางด่างก็หายไปเสียแล้ว


สังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่านางด่างต้องตกท่อระบายน้ำแน่ๆ เพราะดูจากทัศนะวิสัยโดยรอบ ไม่น่าจะมีใครมาแอบอุ้มวัวของเขาไปได้ ช่องทางที่วัวตัวเบ้อเริ่มจะผลุบหายไปโดยไร้ร่องรอย ก็เห็นมีแต่ท่อระบายน้ำที่เปิดฝาไว้โล่งโจ้งแถวๆ นั้นเอง


แต่ในท่อตรงจุดเกิดเหตุไม่มีนางด่าง เจ้าของ(ผู้รู้จักและรู้ใจ)วัวคาดว่า ความงุนงงคงทำให้มันเดินมุดท่อไปเรื่อยๆ ความรักและเป็นห่วงวัวทำให้เขาลงมืองัดแผ่นซีเมนต์ปิดท่อแผ่นอื่นๆ เพื่อก้มดูว่านางด่างเดินไปถึงไหนแล้ว เมื่อไม่เจอก็งัดแผ่นต่อไปเรื่อยๆ


งัดอยู่นานจนมีคนสงสัย เข้าไปถามไถ่กัน และแล้วก็มีพลเมืองดีเข้ามาช่วยเจ้าของวัวงัดแผ่นซีเมนต์กันเป็นการใหญ่ (เจ้าหน้าที่กทม.หายไปไหนเนี่ย)


ในที่สุด หลังจากประชาชนทั้งหลายพากันถือวิสาสะเปิดท่อ(โดยไม่ขออนุญาต) ไปไกลสักหนึ่งกิโลเมตร ก็เจอนางด่างแช่น้ำมะงุมมะงาหราอยู่ในท่อจริงๆ ด้วย!


เจ้าของวัวไม่รอช้าโดดลงไปในน้ำครำสีดำสนิทที่สูงครึ่งเอว เอาเชือกคล้องคอวัว พยายามดึงนางด่างขึ้น แต่ทำยังไงก็ขึ้นไม่ได้ ผู้ก่อการดีทั้งหลายช่วยกันดึงก็ยังไม่ไหว


โชคดี(ของนางด่าง) ที่มีรถเครนคันหนึ่งผ่านมา หลายคนออกไปช่วยกันโบกรถ ขอความช่วยเหลือ คนขับรถเครนก็ใจดีเหลือหลาย ถอยรถมาช่วยอย่างเต็มอกเต็มใจ ทุลักทุเลอยู่พักหนึ่งก็ยกนางด่างขึ้นจากท่อจนได้ ท่ามกลางความตื้นตันของเจ้าของวัว และเสียงเฮสนั่นอย่างดีอกดีใจของฝูงชนผู้ร่วมเหตุการณ์


ตอนที่นางด่างถูกเครนหิ้วขึ้นจากท่อมายืนหน้าซื่อๆ อยู่บนถนนนั้น ฉันนึกดีใจที่เปิดโทรทัศน์ เพิ่งรู้ตัวว่ายิ้มจนปวดแก้ม มีความสุขกับสะเก็ดข่าวเล็กๆ ที่ยืนยันว่าคนไทย(ยัง)ใจดี


ยิ้มหลังข่าว ทำให้ฉันกลับมาเปิดหูเปิดตารับข้อมูลต่างๆ อีกครั้ง แม้โทรทัศน์ยังคงเต็มไปด้วยละครริษยา โฆษณาที่ตอกย้ำว่าผู้หญิงสวยต้องขาว และปริมาณข่าวสะเทือนใจยังถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็น ข่าวสาดมาม่าในร้านสะดวกซื้อ ข่าวเยาวชนชายรุมข่มขืนฆ่าเด็กผู้หญิง ข่าวเครื่องบินประสบอุบัติเหตุ ข่าวผู้เสียชีวิตที่ภาคใต้ หรือข่าวเรื่องนกเพนกวินและหมีขั้วโลกทั้งหมดจะตายเนื่องจากภาวะโลกร้อน


นึกถึงประโยคที่ว่า "ใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส" บางทีความพอดีอาจเกิดจากการดูข่าวแล้วเราได้ฉุกคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็น และสิ่งที่น่าจะทำ ทั้งโดยหน้าที่ของพลเมือง และในฐานะคนที่อยากให้ชีวิตมีคุณค่ามากกว่าการหายใจทิ้งไปวันๆ


ข่าวเล็กๆ เรื่องวัวตกท่อบอกอะไรเราบ้าง ด้านหนึ่งสะท้อนความไม่รอบคอบของบางหน่วยงาน แต่อีกด้านก็เป็นโอกาสให้เกิดเหตุการณ์ที่พิสูจน์น้ำใจคน แถมได้รู้ว่าคนไทยขี้สงสัย ได้รู้ว่ารถเครนทำประโยชน์ได้มากกว่าการก่อสร้าง ได้เห็นว่ายังมีคนทิ้งสารพัดขยะลงในท่อระบายน้ำ และหลานของเพื่อนฉันที่เป็นเด็กกทม.โดยกำเนิดก็ได้รู้ว่ามีวัวกินหญ้าอยู่แถวๆ พุทธมณฑล


นอกจากสี่ขาของหมาแมวในบ้านจะสอนบทเรียนไม่เว้นแต่ละวันให้ฉันแล้ว ที่แน่ๆ วันนี้ สี่ขาของนางด่างยังทำให้ฉันนึกถึงสุภาษิตไทยที่ว่า "สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" และเตือนให้ฉันเดินอย่างมีสติมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย