Skip to main content

ปิดเทอมอีกแล้ว

คอลัมน์/ชุมชน

เข้าสู่ช่วงหน้าร้อนอีกครั้งหนึ่ง เด็กนักเรียนชอบมากเป็นพิเศษเพราะนี่คือช่วงปิดเทอม มีเวลาเกือบ ๆ 3 เดือนที่ไม่ต้องไปโรงเรียน เป็นเวลาที่ได้เล่นสนุกอยู่กับบ้าน กับเพื่อน ๆ ในละแวกบ้าน หรือเล่นเกมคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ไม่ต้องตื่นเช้าไปเรียน นับเป็นช่วงที่มีความสุขมากของเด็กนักเรียน

แต่ปัจจุบันนี้ เนื่องจากพ่อแม่ไม่มีเวลาอยู่บ้านดูแลลูกในช่วงปิดเทอม เพราะต้องทำมาหากิน จะลาหยุดงานมาดูแลกันก็ไม่อาจเป็นไปได้ตั้งสองสามเดือน หรือจะพาไปที่ทำงานด้วยทุกวันก็ไม่เหมาะไม่ควร พาลจะไม่ได้ทำงานแล้วเลยทำให้เจ้านายเขม่นเอาได้ ทำให้มีโรงเรียนหลายแห่งเปิดสอนภาคฤดูร้อนเพื่อช่วยลดภาระพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็ทำให้มีรายได้เพิ่มสำหรับโรงเรียนด้วย ครูเองก็ไม่ได้พักผ่อนแต่ได้เงินค่าสอนก็ยังดี เด็กบางคนก็เรียนครึ่งวัน บางคนก็เรียนทั้งวัน


นอกจากจะเรียนในโรงเรียนภาคฤดูร้อนแล้ว บางคนยังเรียนวิชาพิเศษต่าง ๆ อีก เช่น ดนตรี กีฬา ภาษา ศิลปวัฒนธรรม เหล่านี้เพื่อให้เด็กมีประสบการณ์และมีความสามารถพิเศษด้วย แต่ทั้งหมดนี้มีค่าใช้จ่ายจำนวนสูงมาก พ่อแม่ที่มีฐานะดีก็ไม่ลำบากมากนัก สำหรับครอบครัวไม่มีเงินมากพอย่อมไม่มีโอกาสให้ลูกได้ไปเรียน แถมบางครอบครัวลูก ๆ ต้องไปหางานทำเพื่อเก็บเงินไว้สำหรับจ่ายตอนเปิดเทอมให้ตนเองด้วยซ้ำไป


ส่วนที่น่าจะเป็นส่วนใหญ่ คือเด็กที่ไม่เรียน ไม่ทำงาน แล้วทำอะไรกัน ส่วนหนึ่งน่าจะไปอยู่ตามศูนย์การค้าต่าง ๆ รวมกลุ่มกัน เดินเที่ยวตากแอร์เย็น เล่นเกม เล่นสเกต เล่นโบว์ลิ่ง ดูหนัง ร้องคาราโอเกะ ช่วงปิดเทอมห้างต่าง ๆมีกลุ่มเด็ก ๆ ไปเที่ยวเล่นกันจำนวนมาก โดยเฉพาะห้างที่มีอุปกรณ์เครื่องเล่นจำนวนมาก ตลอดจนสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ เด็กที่พอมีเงินก็สามารถไปซื้อบริการเหล่านี้ได้ แต่ ถ้าเป็นเด็กที่ไม่มีเงิน ไม่มีโอกาส จะใช้เวลาปิดเทอมไปทำอะไรดี


บ้านเรายังขาดสถานที่สาธารณะที่มีบริการฟรีสำหรับเด็กและเยาวชน ไม่มีสนามกีฬา สระว่ายน้ำ ครูฝึกฟรีสำหรับผู้สนใจด้านกีฬา ศูนย์ฝึกสอนด้านศิลปวัฒนธรรม ค่ายฤดูร้อนที่ไม่ต้องจ่ายเงิน ค่ายอาสาพัฒนาชุมชน เทศกาลดนตรี ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นน่าจะให้ความสำคัญ และถือเป็นนโยบายอันดับต้น ๆ ในการสร้างเสริมคนที่มีคุณภาพสำหรับท้องถิ่นของตนเอง การดูแลเด็กและเยาวชนให้มีโอกาสใช้เวลาวันปิดเทอมสร้างเสริมพัฒนาศักยภาพของตนเองที่นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียน เพื่อให้เป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นพลังอันมีค่าของสังคม ไม่ใช่ปล่อยให้ศูนย์การค้าสร้างเด็กเหล่านี้แทน


สิ่งที่องค์กรท้องถิ่นควรดำเนินการเพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีศักยภาพของสังคม น่าจะมีสามเรื่องใหญ่ ๆ คือ หนึ่ง การลงทุนด้านวัตถุ ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ถนัด คือ สร้างสวนสาธารณะที่มีศูนย์กีฬา ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม โรงหนัง โรงละคร โรงเรียนดนตรี ฯลฯ อยู่ในบริเวณเดียวกันเพื่อให้เด็กสามารถเดินทางมาใช้บริการได้ครบวงจร ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็มาพักผ่อนหย่อนใจได้ด้วย สวนสาธารณะขนาดใหญ่เหล่านี้น่าจะสร้างในตัวเมือง หรือในเขตชานเมืองเพื่อเอื้อให้ทั้งคนในเขตชนบท เขตชานเมือง และในตัวเมืองเองด้วย


สอง การลงทุนด้านการขนส่งมวลชนที่สะดวก ประหยัด รวดเร็ว ปลอดภัย เพื่อให้เด็กและผู้ปกครองที่ไม่มีพาหนะส่วนตัวเดินทางได้สะดวก ขณะเดียวกันก็เพื่อให้คนที่มีรถส่วนตัวหันมาใช้บริการสาธารณะมากขึ้นเพื่อลดมลภาวะและเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้โดยคำนึงถึงให้คนในเมือง และรอบนอก สามารถใช้บริการได้อย่างทั่วถึง เท่าเทียม


สาม คือ การลงทุนด้านบุคลากร เพื่อให้มีคน มีอาสาสมัครมาช่วยดำเนินงานให้กิจกรรมต่าง ๆ ดำเนินไปด้วยดี แนวคิดเรื่องอาสาสมัครเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สังคมไทยไม่ค่อยได้ให้ความสนใจ องค์กรท้องถิ่นเพียงทำหน้าที่บริหารจัดการ และรับอาสาสมัครทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ มาช่วยสอนกิจกรรมต่าง ๆ รับรองว่าจะมีทั้งอาสาสมัครสอนดนตรี สอนกีฬา สอนภาษา สอนศิลปวัฒนธรรม จัดค่าย ซึ่งเด็ก ๆ เมื่อผ่านกิจกรรมเหล่านี้ เห็นคุณประโยชน์ของอาสาสมัคร หลายคนก็สามารถกลับมาเป็นอาสาสมัครให้รุ่นน้องๆได้ต่อไป


ช่วงปิดเทอม น่าจะเป็นช่วงเวลาสำหรับทุกคนที่จะได้พัฒนากาย ใจ อารมณ์ สังคมไปกับกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีบริการฟรี หรือเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อย เด็ก ๆ มีโอกาสใช้เวลาว่างวันหยุดปิดเทอมให้เกิดประโยชน์กับตนเองได้ และสังคมก็มีคนที่มีคุณค่ามากขึ้นด้วย


สิ่งที่องค์กรท้องถิ่นหลายแห่งจะยกมาอ้างก็คือ เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ ต้องใช้งบประมาณมหาศาล และที่ดินทำสวนสาธารณะหาไม่ได้แล้วในเมือง ที่ดินมีเจ้าของไปหมดแล้ว หรือแม้จะว่างเปล่าก็ราคาแสนแพง ไม่สามารถซื้อได้ สำหรับเมืองบางเมืองสามารถทำได้ เช่น เชียงใหม่ที่ได้เจรจาขอใช้ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของโรงแรมรถไฟ ที่ทิ้งร้างมาเป็นสิบปี ก็สามารถนำมาใช้จัดทำสวนสาธารณะได้ ยังมีที่ดินอีกหลายส่วนที่น่าจะนำมาใช้เพื่อประโยชน์ของเมืองได้ โดยเฉพาะที่ดินที่หน่วยงานราชการกันเอาไว้ทำเป็นสำนักงาน เป็นบ้านพัก ในอดีตเมืองยังไม่เติบโต ที่ดินเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์เต็มที่


ปัจจุบันหากองค์กรท้องถิ่นต่าง ๆ เจรจาให้หน่วยงานราชการย้ายออกไปนอกเมือง ไปอยู่รวมกันเป็นศูนย์ราชการ ก็จะทำให้เมืองมีที่สาธารณะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเวลาติดต่องานราชการก็ไม่ต้องไปหลายที่ ไปที่เดียวทำได้ทุกเรื่อง บางจังหวัดมีที่ดินทหารที่กันไว้เป็นจำนวนร้อยไร่ขึ้นไป ซึ่งภารกิจของทหารไม่ใช่ในเมือง ดังนั้น หากย้ายออกไปจะทำให้มีที่ดินสาธารณะประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากทีเดียว


องค์กรท้องถิ่น โดยเฉพาะเทศบาลที่มีศักยภาพ มีรายได้จำนวนมากควรจะคืนให้ชุมชนได้แล้ว ไม่ใช่ไปทำแผนสร้างสิ่งที่ไม่ควรสร้าง รื้อสิ่งไม่ควรรื้อ อีกต่อไป น่าจะทำโครงการขนาดยักษ์อย่างนี้ได้แล้ว แม้ไม่อาจสำเร็จในช่วงการบริหารชุดหนึ่ง ๆ แต่หากมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ทำสักสามสี่สมัยก็น่าจะสำเร็จนะคะ


เพื่อปิดเทอมจะได้เป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าสำหรับเด็กทุกคน