Skip to main content

นิราศมะนิลา และภาษาเพศ (ตอนที่ ๑)

คอลัมน์/ชุมชน










































































































 
เมื่อนึกถึงคำว่า " นิราศ" ผู้คนคงจะคุ้นชินกับกาพย์ โคลง และกลอน ที่ถูกนำมาใช้บรรยายความงดงามของวัฒนธรรม สถานที่และผู้คนที่เราได้ไปเยือนและยล แต่ " นิราศมะนิลา" ในภาษาของผู้เขียนคงจะพรรณนาให้ได้เห็นเพียงภาษาว่าด้วยเรื่องเพศในวัฒนธรรมฟิลิปปินส์ตามที่จั่วหัวไว้ว่า " นิราศมะนิลา และภาษาเพศ"
 

ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปฟิลิปปินส์ เพื่อเข้าร่วมหลักสูตรฝึกอบรมผู้นำระยะสั้น ครั้งที่ 3 เรื่อง " ความเป็นหญิงเป็นชาย วิถีทางเพศ และสุขภาพทางเพศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน" เมื่อวันที่ ๑๕- ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ที่ผ่านมาซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือทางวิชาการในระดับภูมิภาคของภาคีความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้านบทบาทชายหญิง วิถีทางเพศและสุขภาพ (The Southeast Asian Consortium on Gender, Sexuality and Health ) และมหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพหลักในปีนี้

 

สภาพอากาศขมุกขมัว ฟ้าหลัว และมีฝนตกชุกดูคุณลักษณะที่รู้จักกันเป็นอย่างดีเมื่อเอ่ยถึง " ประเทศฟิลิปปินส์" แต่ในเช้าวันเสาร์ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๗ ซึ่งผู้เขียนและคณะมีนัดหมายไปดูงานนอกสถานที่เพื่อเรียนรู้ " วัฒนธรรมและวิถีชีวิตทางเพศ" ของชาวตากาลอกที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมะนิลา ผู้เขียนและเพื่อนร่วมคณะอีกเก้าชีวิต จึงชื่นมื่นหัวใจเพราะฝนฟ้าอากาศช่างเป็นใจ ท้องฟ้าดูแจ่มใส... สถานที่ดูงานซึ่งได้รับการคัดสรรมาให้เลือกตามความสนใจนั้นมีอยู่ ๓ แห่งด้วยกันคือ หนึ่ง-ย่านควิอาไป (Quiapo) สอง-แถบซานตาครูส (Sta. Cruz) และสาม-ห้างสรรพสินค้าแฮริสัน พลาซา (Harrison Plaza Mall)

 

ผู้เขียนขอเล่าย้อนสักนิดเรื่องสถานที่ หลังจากได้ติดประกาศไปสองสามวัน ผู้เขียนก็ยังไม่เห็นมีแม้รอยหมึกสักหยดเดียวปรากฎใต้ชื่อ ‘ โบสถ์ซานตาครูส’ ในขณะมีเพื่อนผู้สนใจใคร่รู้อยากไปตระเวนย่านควิอาโปและห้างสรรพสินค้าแฮริสันพลาซาแล้วถึง ๔ – ๕ คน ผู้เขียนให้สงสัยและเดาเล่นๆ ว่าหรือเพราะคำว่า ‘ โบสถ์’ ที่ทำให้ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมยังอยู่ในระหว่าง " คิดแล้ว...คิดอีก"

 

เพื่อนชาวฟิลิปปินส์ชายรักชาย ผู้มีอัธยาศัยไมตรีและรูปร่างหน้าตาดีพอจะเป็นทุนหนุนส่งให้ความใฝ่ฝันอันสูงสุดของเขาที่อยากจะเป็นดาราแสดงนำในภาพยนตร์แนวหวือหวาท้าทายที่ว่าด้วยสิเน่หาและกามารมณ์หรือ Pornography Movie เป็นจริงขึ้นมาได้ เพื่อนหนุ่มแต่หัวใจสาวรายนี้แอบกระซิบด้วยเสียงแหลมเล็กน้อย " เนี่ยะนะเธอ จะบอกอะไรให้... ถ้าเธอไปย่านโบสถ์ซานตาครูสนะ เธอก็จะได้ไปย่านควิอาโปด้วย กำไรสองต่อเชียวนะเธอ เพราะว่าเขตมันติดต่อกันรู้ไม๊เธอ"

 

ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากเพื่อนคนนี้และข้อมูลบางส่วนที่มีอยู่ก่อนหน้าจากผู้จัดเกี่ยวกับความพิเศษของพื้นที่ ผู้เขียนจึงบรรจงใส่ชื่อตัวเองลงไปใต้ ‘ ซานตาครูส’ เป็นรายที่สองและขอบอกอย่างภาคภูมิใจ ณ ที่นี้ว่า ผู้กล้าคนแรกที่ได้ลงลายมือชื่อประเดิมไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วนั้น เป็นเพื่อนอาจารย์คนไทยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนที่เธอบรรจงเขียนชื่อนั้นเธอพูดอย่างมั่นใจนิดๆ ว่า " ทำไมไม่มีใครสนใจไปที่นี่เลยล่ะ? เขียนชื่อเราลงไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวไม่เชื่อคอยดูนะ จะต้องมีคนเขียนชื่อตามแน่นอน!!!"

 


 

พวกเราชาวคณะออกเดินทางไปซานตาครูสเวลาประมาณเก้าโมงกว่า ๆ เห็นจะได้ ซานตาครูสอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักนานาชาติ (SEAMEO Innotech International House) ที่พักของเรานัก เมื่อถึงเวลานัดหมายก็มีรถตู้มารับถึงที่ รถที่นี่หน้าตาไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากที่เห็น ๆ ใช้ ๆ อยู่ในบ้านเราหรอก ต่างกันเล็กน้อยตรงที่พวงมาลัยที่เคยเห็นชินตาว่าอยู่ด้านขวามือ ก็ย้ายไปโผล่อยู่ฟากซ้ายมือแทน

 

เพื่อนอาจารย์จากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติฟิลิปปินส์ ชื่อ ดร. โซลิแดท แดลิไซ ช่วยเป็นไกด์พากลุ่มของเราซึ่งมีลูกทัวร์ทั้งคนไทย ลาว ฟิลิปปินส์ อิตาลี เมียนมาร์ เวียตนาม อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย ดร. แดลิไซ เธอก็ขยันชี้ชวนให้เราได้ดูโน่นชมนี่ตามสองข้างทางและอธิบายในฐานะเจ้าบ้านว่าหอนาฬิกาเก่า ๆ ที่เราเห็นสูงเด่นเป็นสง่านั่น เป็นเครื่องหมายแสดงว่าเราอยู่ในเขตเมืองมะนิลาแล้ว อ้อ ! ลืมบอกไปอีกอย่างว่า บ้านักนานาชาติตั้งอยู่ที่เขตเมืองเกวซอน ซิตี้ของกรุงมะนิลาหรือ Metro Manila

 

พอรถเลียบเข้าเขตเมืองมะนิลา ผู้เขียนเริ่มสังเกตเห็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นตึกรามบ้านช่องเริ่มมีขนาดใหญ่โต ป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการตามรายทาง ช่างดูทันสมัยทั้งสีสันและข้อความที่บอกกล่าวเล่าขานนิยามและค่านิยมของคนเมือง ธนาคารหนาหูหนาตาขึ้น และมี " ชุมชนแออัด" อยู่ริมทางรถไฟ ซึ่งดูคล้ายกับย่านหัวลำโพงที่กรุงเทพฯ บ้านเรายังไงไม่รู้หรือว่านี่จะเป็น " คุณสมบัติร่วม" ของความเป็นเมืองหลวง

 

ดร. แดลิไซ เล่าด้วยอาการติดตลกว่า " เพราะเป็นชุมทางรถไฟ คนที่นี่จึงสะดุ้งตื่นมากลางดึกเพราะเสียงรถไฟและเสียงหวูดของรถไฟที่ดังมากมาก (เน้นเสียงหนัก) ผู้คนตื่นมาแล้วก็นอนไม่หลับ เลยได้สาละวนกับกิจกรรมอย่างอื่น (ที่ทุกคนชื่นชอบรึเปล่า ไม่แน่ใจ) ชุมชนคนรถไฟเลยมีลูกหลานเยอะมาก" ตอนที่ผู้เขียนนั่งฟังและกินลมชมวิวไปด้วยนั้น ยังพลอยพยักหน้าหงึกหงึกและเชื่อตาม แต่มารู้(ตัว)ทีหลังจากเพื่อนเอ็นจีโอเพศชายชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง ซึ่งอายุอานามประมาณสามสิบต้น ๆ ว่า ตัวเขาเองมีลูกทั้งหมดห้าคน เพราะเขาน่ะรักเด็ก แต่บ้านช่องห้องหอไม่ได้อยู่ที่ชุมชนรถไฟหรอกนะ

 

ผู้เขียนยอมรับว่าตื่นตาตื่นใจเป็นพิเศษกับป้ายชื่อร้านค้า ประกาศโฆษณาและข้อความต่าง ๆ นานาปรากฏตามสื่อที่นั่น ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของชาวฟิลิปปินส์ ผู้คนจึงใช้ภาษาปะกิดได้ค่อนข้างมีเสน่ห์ติดหู ชื่อแซ่ของร้านรวงนั้น ขอบอก ! เซ็กซี่ไม่ใช่เล่น ลองดูตัวอย่างบางชื่อเพื่อช่วยให้เห็นภาพชัด ๆ ชื่อนี้มีตั้งแต่ ‘ ลองชิมฉันซักนิดจะติดใจ- Taste me! ’, ‘ ประสาคนเมือง- Urban behaviour ’ ฯลฯ ข้อสังเกตที่ผู้เขียนมีกับความเซ็กซี่ของชื่อนั้น คงเพราะว่าร้านค้าเหล่านี้ตั้งอยู่ในย่านซานตาครูส จึงมีชื่อเสียงเรียงนามล้อตามสถานที่ไปเลย

 

ถ้าเปรียบเทียบย่านซานตาครูสกับสถานที่สักแห่งที่เมืองไทย ซานตาครูสมีบรรยากาศโดยรวมคล้ายๆกับย่านประตูน้ำ มีสินค้าวางขายตั้งแต่เสื้อผ้าเด็กและผู้ใหญ่, รองเท้า, อุปกรณ์ไฟฟ้า, ซีดี/วิซีดี, แต่พิเศษตรงที่มียาสมุนไพร, ผัก ผลไม้และลูกตะลิงปลิงขายด้วย ซานตาครูสยังมีชื่อกะฉ่อนในฐานะเป็นพื้นที่ ซึ่งมีธุรกิจบริการทางเพศทั้งขนาดเล็กและขนาดย่อมเป็นบริการแบบขายตรงเจ้าของคนเดียวหรืออาจจะมากกว่าสองคนก็มี (เพื่อนชายเป็นนายหน้าหาลูกค้า) เพื่อนชาวฟิลิปปินส์บอกว่าถ้าเห็นผู้หญิงแต่งตัวเน้นรูปร่างและโชว์สัดส่วน, ยืนอยู่คนเดียว, มีสีหน้าท่าทางล่องลอยไร้จุดหมาย หรือถ้าสบสายตากับเธอแล้วเธอส่งสายตาแปลกๆ กลับมา อนุมานได้เลยว่าเธอประกอบธุรกิจส่วนตัว ชัวร์ !

 

สิ้นคำบอกเล่าของเพื่อนเจ้าถิ่น ผู้เขียนจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ โดยทันที และแล้ว...ก็เห็นหญิงสาวนางหนึ่งยืนอยู่ไกล ๆ แต่งตัวด้วยชุดแสครัดรูปสีส้มแปร๊ดยืนอยู่คนเดียว และผู้เขียนนึกสรุปไวยังกะปรอทว่า " เป็นเธอแน่เชียว" แต่แล้วเมื่อสติกลับมาที่ตัว หัวใจเลยได้ตั้งคำถามกับหัวสมองเล็ก ๆ ของตัวเองว่า " ทำไมเราต้องคิดว่า ผู้หญิงที่แต่งตัวอย่างนี้ มีอากัปกริยาเยี่ยงนี้ เตร็ดเตร่อยู่ในย่านนี้ มาคนเดียวไม่มีเพื่อนแบบนี้ จะต้องเป็นหญิงบริการด้วยล่ะ?" เลยลองคิดต่อไปอีกเล็กน้อยพร้อมกับสร้างเครื่องหมายคำถามขึ้นมาในหัวอีกมากมายว่า


- จริงๆ แล้ว มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นหรือเปล่าที่ทำธุรกิจบริการทางเพศที่ย่านซานตาครูส?
- หญิงสาวนางนี้จะมีเพื่อนร่วมอาชีพของเธออยู่แถวนี้อีกกี่สิบคนนะ?
- มีใครอีกบ้างเป็นผู้พัฒนาธุรกิจบริการนี้ร่วมกับเธอ?
- มีหนุ่มๆ ที่ทำงานบริการทางเพศอยู่แถวนี้บ้างไม๊นะ?
- แล้วมีแหล่งบริการทางเพศเฉพาะสำหรับผู้ชายขายบริการทางเพศหรือเปล่า?
- ถ้าผู้ชายทำงานบริการ เขาจะมีเพื่อนหญิงเป็นนายหน้าเชียร์แขกให้หรือเปล่านะ?
- แล้วท่าทีและท่วงท่าอย่างไร ที่พอจะบ่งบอกเป็นนัยๆ ให้รู้ได้ว่าชายคนนี้ทำงานบริการทางเพศ ?
- ???????
 

เมื่อคิดวกไปวนมาก็ยังไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ เอาเป็นว่ากลับมาเหตุการณ์ตรงหน้าก่อนน่าจะดีกว่า...

 


 

ชาวคณะและผู้เขียนไปถึงซานตาครูสเป็นเวลาเช้าประมาณเกือบสิบโมงเห็นจะได้ ร้านค้าเพิ่งจะเริ่มตั้งโต๊ะขายของกัน มีแผงรับซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือทั้งที่แบกะดินและวางบนโต๊ะ ด้วยข้อมูลเพิ่มเติมที่ได้จากเพื่อนคนนี้และข้อมูลบางส่วนที่มีอยู่ก่อนหน้าจากผู้จัดเกี่ยวกับความพิเศษของพื้นที่ ผู้เขียนจึงบรรจงใส่ชื่อตัวเองลงไปใต้ ‘ ซานตาครูส’ เป็นรายที่สองและขอบอกอย่างภาคภูมิใจ ณ ที่นี้ว่า ผู้กล้าคนแรกที่ได้ลงลายมือชื่อประเดิมไปก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วนั้น เป็นเพื่อนอาจารย์คนไทยจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตอนที่เธอบรรจงเขียนชื่อนั้นเธอพูดอย่างมั่นใจนิดๆ ว่า " ทำไมไม่มีใครสนใจไปที่นี่เลยล่ะ? เขียนชื่อเราลงไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวไม่เชื่อคอยดูนะ จะต้องมีคนเขียนชื่อตามแน่นอน!!!"

 


















ถัดไปหน่อยมีโต๊ะขายสินค้าหน้าตาพิเศษที่ผู้เขียนขอให้ชื่อเรียกว่า " ปลอกเสริมจู๋" วางอยู่ ๒-๓ แผง เจ้าปลอกเสริมจู๋นี้บรรจุอยู่ในซองพลาสติกขนาดเล็ก ๆ (ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านเราเอามาใส่พริกป่นและน้ำตาล) วางเกลื่อนอยู่บนโต๊ะ และที่ซองมีตัวหนังสือตัวเขื่องบนกระดาษโปสเตอร์สีสะท้อนแสงสีเขียว สีชมพู สีส้ม ใจความว่า

 

" Midnight Delight -ให้ราตรีนี้เปี่ยมสุข, Sensation- สัมผัสที่นุ่มละไม
Sex ring for Men -ปลอกเสริมจู๋สำหรับพ่อยอดชาย, Sex ring for Sale! - ปลอกเสริมจู๋ ลดราคา!
Made in Hong Kong ผลิตที่ฮ่องกง, Made in Japan - ผลิตที่ประเทศญี่ปุ่น"

 

คนขายบอกว่า " ปลอกเสริมจู๋" นี้ทำจากซิลิโคน ยืดได้และขยายได้ (stretchable) เหมาะกับทุกขนาด และรูปลักษณ์นั้นมีตั้งแต่เป็นปลอกยางสีขาวขุ่นมีขนาดความกว้างประมาณ 1 เซนติเมตรและมีผิวตะปุ่มตะป่ำขนาดคล้ายเม็ดสาคู (ใส่ในน้ำเต้าหู้ทรงเครื่อง) ประมาณ 5- 6 เม็ด รุ่นนี้มีทั้งที่มีขอบบนและล่างเหมือนถุงยางอนามัยและชนิดที่ไม่มีขอบ









 
 

รุ่นที่เป็นปลอกยางสีขาวขุ่นไซส์เดียวกัน แต่มีผิวสัมผัสเหมือนหนามกุหลาบยาว ๆ ประมาณครึ่งเซนติเมตรอยู่รอบ ๆ มีสีขาวขุ่นเหมือนตัวแถบยางที่ยึดหรือเป็นสีดำตัดกันไปเลยก็มี รุ่นผิวสัมผัสตะปุ่มตะป่ำแต่เป็นปลอกยางมีขนาดยาว 2 นิ้ว แต่ยืดได้มากกว่านั้นสำหรับผู้ที่นิยมให้มีขนาดสมใจเท่ากันตั้งหัวจรดปลายก็มี หรือรุ่นดั้งเดิมที่เป็นวงกลมสีน้ำตาลอ่อน ๆ และมีขนตาบางๆ สีครีมติดอยู่โดยรอบ รุ่นนี้คนขายบอกว่าทำมาจากขอบตาของแกะ เพื่อนคนออสเตรเลียที่อยู่เมืองไทยมาหลายปีแล้วบอกว่าเห็นรุ่นนี้มีขายแถวถนนเยาวราชด้วย

 

คนขายผู้หญิงซึ่งอายุคงจะรุ่นราวคราวแม่ของผู้เขียนได้บรรยายสรรพคุณของปลอกเสริมจู๋อย่างมั่นอกมั่นใจพร้อมอ้างอิงประสบการณ์ตรงของเธอว่า " รุ่นนี้ใช้ดี ป้าลองมาแล้ว" แต่ป้าเธอยังมิวายออกตัวด้วยท่าทีขวยเขิน " ตอนนี้ป้าไม่ได้จิ๊จ๊ะกับแฟนแล้วล่ะ อายุมันมากแล้ว ไม่มีเวลาด้วย เพราะกว่าจะขายของเสร็จเข้าบ้าน ก็ปาเข้าไปทุ่มสองทุ่มแล้ว ถึงตอนนั้นก็เหนื่อยมากแล้วววว... ไม่มีกะจิตกะใจ"

 

เพื่อจะได้ยืนอยู่แถวนั้นสังเกตการณ์เหล่าลูกค้าของเธอ ผู้เขียนจึงผูกมิตรไมตรีกับคุณป้าคนขายว่าหน้าตาเธอยังดูอ่อนกว่าวัย ดูดีและสวย (แม้จะไม่ขาวใส คนฟิลิปปินส์เขาผิวสีน้ำผึ้ง) ระหว่างที่ชมกันไปชมกันมาอยู่นั้น มีกะทาชายนาย หนึ่งหน้าตาดี อายุอานามราว ๒๐ ต้น ๆ ผิวขาวเหมือนมีเชื้อจีนเดินตรงรี่มาที่แผง ไม่พูดไม่จาเลือกหยิบรุ่นที่เจ้าหนุ่มต้องการพร้อมกับยื่นเงินใบยี่สิบเปโซให้คนขาย ผู้เขียนทำหน้าทะเล้นเล็ก ๆ ยิ้มให้และถามว่า " แฟนเธอชอบรุ่นไหน?" เขายิ้มนิด ๆ ที่มุมปากและหลบสายตา หันมาบอกก่อนจะเดินจากไป " รุ่นที่ซื้อนี่แหละ" เออสินะ เราไม่น่าโง่ถาม...

 

หลังจากพ่อหนุ่มน้อยหายลับไปจากสายตา คุณป้าคนขายก็เริ่มนาทีวิเคราะห์ตลาดผู้บริโภคของเธออย่างช่ำชอง " จริง ๆ แล้วคนทั่วไปน่ะใช้กันเยอะ ทุกวัยเลยค่ะ เพราะที่ป้าขายได้แต่ละวัน มีรายได้เป็นพันถึงสองพันเปโซต่อวันก็ยังมี แต่คนไม่กล้ายอมรับว่าใช้ เขากลัวถูกมองว่าเซ ็กส์จัด"

 

ทิ้งช่วงไม่ถึงห้านาทีหลังจากที่หนุ่มหน้ามนสาวเท้าจากไป มีชายสูงวัยซึ่งถ้าประมาณหยาบ ๆ ด้วยสายตาอายุคงสัก ๕๐ กว่า ๆ เดินมาที่แผงและขอคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้และรุ่นที่กำลังนิยม คุณป้าคนขายจึงได้ร่ายสรรพคุณบรรดามีให้ลูกค้า (ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นขาใหญ่ในภายหลัง) ฟัง ในขณะที่คุณลุงสาละวนค้นสินค้าที่กองระเกะระกะอยู่บนโต๊ะอย่างตั้งอกตั้งใจ และกำลังครุ่นคิดว่าจะ ตัดสินใจเลือกซื้อรุ่นไหนดี คุณป้าขาโจ๋เลยคุยทับความรอบรู้ของเธอเกี่ยวกับไอ้เจ้าปลอกเสริมจู๋ว่า " อีกสองแผงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนั่น คนขายเป็นผู้ชายก็จริง แต่ไม่ค่อยรู้อะไรหรอก เค้ามาจากมินดาเนา เป็นมุสลิมด้วย..."

 

บทสนทนาเรื่องปลอกเสริมจู๋ของผู้เขียนกับคุณป้าแม่ค้าย่านซานตาครูส จะเปิดประตูให้ผู้เขียนเข้าไปรับรู้ประสบการณ์ชุดใหญ่ ในพื้นที่ใหม่กับคนแปลกหน้าอย่างไรนั้น โปรดติดตามอ่านต่อฉบับหน้า


...........


เผยแพร่ในประชาไทเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๔๗