Skip to main content

นิราศมะนิลา และภาษาเพศ (๒)

คอลัมน์/ชุมชน


ฉบับที่แล้ว ผู้เขียนเล่าประสบการณ์ไปเข้าร่วมฝึกอบรมที่ประเทศฟิลิปปินส์ และลงสนามไปเรียนรู้วิถีชีวิตทางเพศของคนเมืองมะนิลา ย่านซานตาครูส และได้ทิ้งท้ายไว้ที่บทสนทนา ซึ่งผู้เขียนกำลังคุยอย่างออกรสชาติกับคุณป้าคนขาย " ปลอกเสริมจู๋ "


เมื่อรู้สึกว่าคงเก็บเกี่ยวข้อมูลวิถีชีวิตทางเพศของชาวตากาล๊อกได้มากพอที่จะไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มอื่นแล้ว ผู้เขียนยืนหันรีหันขวางอยู่พักหนึ่งและมองหาเพื่อนร่วมคณะ ยังเห็นยืนมุงกันเต็มอยู่ที่แผงขายปลอกเสริมจู๋ของเจ้าหนุ่มน้อยคิ้วหนาตาคมจากมินดาเนาโน่น (สมกับเป็นชาวมุงจริงๆ ! มีหลายเชื้อชาติจึงไม่สมควรเรียกว่า ไทยมุง)


ประเมินแล้ว ผู้เขียนยังไม่เห็นชาวคณะมุงมีทีท่าว่าจะขยับขยายย้ายกันไปที่ไหนอื่น ผู้เขียนจึงเตร็ดเตร่เข้าไปในซอยเล็ก ๆ ถัดไปไม่ไกลนัก เห็นมีโต๊ะรับบริการทำประกาศนียบัตร, ใบปริญญาบัตร, ใบรายงานผลการเรียน(ทรานสคริปท์) หนังสือรับรองจากหลากหลายสถาบันเรียงรายอยู่สามถึงสี่ร้าน ผู้เขียนยังไม่ทันจะได้ซื้อหามาสักใบไว้เป็นที่ระลึก ท้องเจ้ากรรมก็ทะลึ่งร้องจ๊อก จ๊อก... ผู้เขียนจึงเดินกลับมาที่แผงขายอาหารซึ่งอยู่อีกฟากของถนน


อาหารที่วางโชว์อยู่ในตู้ คุ้นหน้าคุ้นตาหน่อยก็มีแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เต้าหู้ทอด และเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมและชามะนาว ดูแล้วไม่น่าประทับใจกระเพาะเท่าไหร่ ผู้เขียนจึงตัดใจเดินจากไปและนั่งพักที่โต๊ะข้าง ๆ ซึ่งยังว่างอยู่ สายตาของยังคงจ้องมองไปที่กลุ่มเพื่อนด้วยแววตาลุ้นแกมเร่งให้เสร็จธุระ ‘ มุง '


หย่อนก้นลงนั่งยังไม่ถึงนาที... ชายหนุ่มวัยกลางคนที่กำลังนั่งดื่มน้ำสีชาอยู่โต๊ะข้าง ๆ ก็ส่งภาษาตากาล๊อกมาทักทาย ผู้เขียนหันซ้ายและมองขวาเพื่อดูให้มั่นใจว่าเขาพูดกับเราหรือใคร ไม่แน่ใจจึงทำเก๋ไก๋ไม่รู้ไม่ชี้ ผู้ชายคนเดิมจึงส่งเสียงทักทายมาอีกหนสอง ผู้เขียนเลยถามกลับไปอย่างสุภาพว่า " คุณพูดกับฉันหรือเปล่า? " เขารีบตอบมาทันที และบอกขอโทษเพราะทึกทักเอาว่าเราเป็นคนฟิลิปปินส์ พร้อมกับเชิญให้ไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย


ประเมินอายุอานามของกะทาชายนายนี้แล้ว บุคลิกและหน้าตาท่าทางรึก็ไม่เกลียดน่ากลัว แถมยังตัวเล็กกว่าเราอีกเป็นไหน ๆ ซ้ำยังคิดเข้าข้างตัวเองไปอีกว่า ตาลุงนี่คงมีน้ำใจอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลนักท่องเที่ยวกระมัง กระนั้นแล้ว... ผู้เขียนเลยตกปากรับคำไปนั่งร่วมโต๊ะด้วย


คุณลุงร่างเล็กรายนี้เริ่มบทสนทนาด้วยคำถามว่า " คุณเป็นคนมาเลเซียหรือเปล่า? " ผู้เขียนส่ายหน้า ตาลุงถามต่อทันทีด้วยคำถามสุดฮิตว่า " คุณมาจากประเทศไหน? " พอผู้เขียนหลุดปากตอบไปว่าเป็นคนไทยเท่านั้นแหละ... พ่อเจ้าประคุณร่ายยาวประวัติชีวิตส่วนตัวให้ฟังโดยไม่ต้องได้เอ่ยปากถาม


คุณลุงบอกว่าเคยไปรับจ้างทำงานต่างประเทศ วันนี้มาทำเอกสารเพื่อเอาไปประกอบการสมัครงาน พร้อมกับโชว์ซองเอกสารประกอบการศึกษา เอกสารที่เสร็จเรียบร้อยแล้วดูดีและมีพิมพ์นูน ช่างดูสมจริงเสียนี่กระไร !


เขาเล่าเพิ่มเติมด้วยอารมณ์หงุดหงิดเล็กน้อยว่า " เฮ้อ ! วันนี้มาเสียเที่ยว ยังไปสมัครงานไม่ได้ วันนี้เป็นวันหยุดราชการ บริษัทเขาก็หยุดทำการ "


ลุงแปลกหน้าเล่าต่อโดยไม่เปิดช่องให้ได้ถามอีกว่า เขาเคยทำงานเป็นหัวหน้าคนงานที่บริษัทขุดเจาะน้ำมันของไทยที่อำเภออ่าวอุดม จังหวัดชลบุรีเมื่อสักสี่ซ้าห้าปีที่แล้ว พร้อมหยอดคำพูดแกมเอาใจผู้เขียนว่า " ผมน่ะชอบคนไทย ประทับใจคนไทยมากกกก... ใจดีเป็นที่หนึ่ง "


ใบหน้าผู้เขียนจึงเปื้อนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยด้วยความภาคภูมิใจในชาติ (ช่วงหลังเกิดอาการนี้บ่อยขึ้นตามกระแสโอลิมปิกฟีเวอร์) บรรยากาศการสนทนาระหว่างตาลุงตัวเล็กกับผู้เขียนจึงดูเป็นมิตรมากขึ้น


คุณลุงหวังดีเสนอซื้อเครื่องดื่มให้ แต่ผู้เขียนบอกปฎิเสธไป และได้โอกาสถามกลับบ้างว่าเขาเป็นคนที่ไหน เขาตอบกลับมาด้วยชื่อไม่คุ้นหู อีกทั้งผู้เขียนเองก็ได้ยินชื่อไม่ถนัดนัก แต่จับใจความได้ว่าอยู่นอกเมืองมะนิลาและลุงเขาต้องมาเช่าห้องพักอยู่ที่โรงแรม


คุณลุงรีบสวนกลับมาด้วยคำถามแบบที่ผู้เขียนแทบตั้งตัวไม่ติดว่า " สนใจไปนั่งคุยกันต่อที่โรงแรมไม๊ล่ะ " เท่านั้นแหละ ผู้เขียนก็ตกใจถึงขั้นเหวอ และอึกอักอยู่พักใหญ่ ก่อนจะรีบลุกพรวดพรากจากไปหาเพื่อน


ผู้เขียนได้เรียนรู้ว่า เนื่องจากซานตาครูสเป็นจุดซื้อขายและถ่ายเทสินค้านานาชนิด เสียงเพลงที่ดังเป็นแบค กราวน์กระตุ้นเร้าและเร่งให้ผู้คนตัดสินใจจับจ่ายซื้อขาย ความพลุกพล่านของผู้คนและเสียงพูดคุยที่ดังขรมจากการเจรจาต่อรองราคาสินค้า ย้ำเตือนความเป็นพื้นที่เฉพาะของการ " ซื้อ และขาย "


นอกจากนั้นอาณาบริเวณของซานตาครูสและความเป็นย่านโบสถ์วัดวา ซานตาครูสจึงกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งรวมเอาผู้คนมากหน้าหลายตามาไว้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ และเปิดโอกาสให้ผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา กล่าวอ้างได้ว่าเขาและเธอมาที่โบสถ์ เพื่อประกอบกิจทางศาสนา และแสวงหาความสุขสงบแห่งจิตวิญญาณ หรือเพื่อพบปะเพื่อนฝูง ญาติสนิทมิตรสหายที่มาชุมนุมที่โบสถ์ และอีกเหตุผลร้อยแปดพันประการ


 จากเรื่องราวที่พบเจอกับตาลุงนั่น ผู้เขียนเชื่อมโยงได้ชัดขึ้นในประเด็นคนต่างถิ่นกับสถานที่ใหม่ใจกลางเมือง คนที่เข้าเมืองมาเพื่อเสาะแสวงหาสัญลักษณ์ของการศึกษาเพื่อได้มาซึ่งอาชีพ หรือแม้แต่คนท้องถิ่นซึ่งหลงใหลในกิจกรรมในพื้นที่เดิม ๆ อย่างซานตาครูส และคนที่คุ้นเคยกับการอยู่อาศัยในต่างถิ่นห่างไกลจากฐานบ้านเกิด


ความสัมพันธ์ของพื้นที่กับการเดินทางและเคลื่อนย้ายถิ่น น่าจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลซึ่งทำให้ผู้คนเหล่านั้นมีแนวโน้มที่อยากจะมีกิจกรรมทางเพศกับคนใหม่ ๆ หรืออาจจะทำกิจกรรมด้วยลีลาไม่ซ้ำเดิมหรือสุดขั้วกับคนแปลกหน้า ในบรรยากาศที่ไม่ซ้ำซากจำเจ ทั้งยังไม่ต้องกังวลกับคำครหาและสายตาที่มักจะตัดสินคุณค่าซึ่งติดอยู่กับคำว่า " ดี หรือ ไม่ดี "


ผู้เขียนยังได้เห็นธุรกิจเสริมความงามและสายบริการที่เกี่ยวข้องบนย่านซานตาครูส ไม่ว่าจะเป็นบริการทำเล็บสีสวยเคลื่อนที่สำหรับสาวเล็กสาวใหญ่ ร้านรวงที่ขายความมั่นใจให้กับหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ด้วยปลอกเสริมจู๋ ชื่อของร้านค้าและป้ายโฆษณาซึ่งช่วยตอกย้ำบรรยากาศและความเซ็กซี่ของสถานที่ และกิจกรรมประดามีของผู้คนที่ย่ำเดินอยู่ที่ซานตาครูส


ถ้าเปรียบซานตาครูสเป็นเหมือนคนหนึ่งคน คงเป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีสีสัน มีบุคลิกและท่วงท่าที่น่าชวนให้ฉงนสนเท่ห์อยู่ไม่น้อย ซานตาครูสเป็นอยู่และคงอยู่อย่างนั้น สุดแล้วแต่ว่าผู้คนจะหยิบจับแง่มุมไหนมารับใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตน


ตัวอย่างของคุณป้าแม่ค้าขายปลอกเสริมจู๋ซึ่งรู้เท่าทันว่าพื้นที่นี้มี ‘ กิจกรรมแห่งความสุนทรียะทางเพศ ' เกิดอยู่เป็นกิจวัตร เธอจึงได้จัดธุรกิจปลอกเสริมจู๋มารองรับอย่างเหมาะเหม็ง ซานตาครูสก็แบ่งเม็ดเงินยี่สิบเปโซต่อหนึ่งปลอกเป็นรางวัลตอบแทนความเข้าอกเข้าใจของเธอ


สภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยซึ่งผู้เขียนพูดถึงนั้น ได้ปรุงแต่งและผูกโยงให้ซานตาครูสเป็นพื้นที่พิเศษ สื่อสารเรื่องทางเพศด้วยภาษาใบ้ผ่านรูปแบบสินค้า การซื้อขาย และบริการ ซานตาครูส จึงอนุญาตกลาย ๆ ให้คนแปลกหน้าซึ่งมาจากหลากภูมิหลังและหลายพื้นที่ มีปฏิสัมพันธ์และพัวพันกัน โดยที่ไม่มีผู้ใดสนใจใคร่รู้ และตั้งคำถามกับพฤติกรรมและความสัมพันธ์ของเขาและเธอ


ด้วยความเป็น ‘ ซานตาครูส ' ผู้หญิงที่มาเดินเตร็ดเตร่อยู่คนเดียว ตกแต่งเรือนกายของเธอด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เปิดเผยเนื้อหนังมังสาและเน้นโชว์สัดส่วนโค้งเว้า เธอจึงถูกจ้องมอง ประทับตราและเอาป้ายราคามาแปะติดให้ และบอกเล่าต่อไปกับใครต่อใครอีกว่า เธอเหมือนเป็น ‘ สินค้าว่าด้วยเซ็กส์ ' อย่างที่เพื่อนชายชาวฟิลิปปินส์ของผู้เขียนให้ข้อสังเกตไว้ในตอนแรก


..............


เผยแพร่ในประชาไทเมื่อวันที่ ๔ พ.ย. ๒๕๔๗