Skip to main content

มา "ตรวจจิ๋ม" กันเถอะ

คอลัมน์/ชุมชน

1


ดิฉันได้ผัดผ่อน ต่อรองกับตัวเองเรื่อง "การตรวจมะเร็งปากมดลูก" ด้วยตัวเองมานาน จนกระทั่งหลายปีผ่านไป ระยะหลังเรื่องมะเร็งปากมดลูกเริ่มได้ยินบ่อยขึ้น วงเริ่มแคบเข้ามาใกล้ตัวดิฉันเรื่อย ๆ ผู้หญิงที่สมควรไปตรวจเป็น
อย่างยิ่งคือ ผู้หญิงทั้งหลายที่อายุขึ้นเลขสาม หากเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรไปตรวจอย่างยิ่ง


เอ…ดิฉันก็เข้าข่ายนี่นา แต่จนแล้วจนรอด ดิฉันก็ไม่ได้ไปด้วยหลายสาเหตุ เช่น อายหมอ (เรื่องนี้ใหญ่ที่สุด เพื่อน ๆ พี่ ๆ ดิฉันหลายคนที่ไม่ยอมไปก็ด้วยสาเหตุนี้) ไม่มีเวลา ไม่อยากไปโรงพยาบาล ไม่อยากเสี่ยงว่าต้องเจอหมอผู้ชาย ซึ่งเป็นคนแปลก
หน้าต้องมาดู "จิ๋ม" เรา แถมยังมีเรื่องราวที่น่าสะพรึงกลัวที่เป็น "เรื่องเล่า" ของความเจ็บปวดจากการตรวจภายในมาให้กันฟัง
เช่น หากไม่เคยแต่งงานนะ มันจะเจ็บมาก จนน้ำตาเล็ด น้ำตาร่วง หรือหากแต่งงานแล้วหมอจะใช้เครื่องมือแบบไม่บันยะบันยัง
แบบไม่เกรง (ใจ) "จิ๋ม" เลยซักนิดเดียว (อันนี้ ยังไม่นับหน้างอ รอนานนะคะ)


เรื่องใหญ่มากกว่านั้นคือ คำนำหน้าดิฉันยังเป็น "นางสาว" หากหมอถามเรื่องเพศสัมพันธ์ แล้วหมอจะคิดอย่างไรกับเรื่อง
เพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ผ่านพิธี (กรรม) หรือความสัมพันธ์นอกกรอบของดิฉัน เฮ้อ กลุ้ม กลุ้ม ๆ


แต่แล้วเดือนที่ผ่านมา ก็มีเหตุให้ต้องคิดเรื่องการตรวจภายในอีกครั้ง ชนวนใหญ่คือ ดิฉันรู้สึกปวดหน่วง ๆ
ที่บริเวณท้องน้อยข้างซ้าย
ตอนแรกดิฉันคิดว่าเป็นการปวดประจำเดือน แต่หลังประจำเดือนหยุดไปแล้ว
อาการปวดหน่วงก็กระตุกดิฉันเรื่อย ๆ หลังจากสังเกตอาการของตนเองได้ประมาณหนึ่งเดือน ก็ได้ฤกษ์ที่ต้อง
ตัดความกังวลทั้งหมดออกไป "ไปหาหมอดีกว่า" เริ่มหาข้อมูลจากแม่เพื่อน
พี่สาวเพื่อน ที่เคยตรวจมาแล้วว่าควรไปหาหมอที่ไหน เป็นอย่างไร เจ็บไหม ค่าตรวจเท่าไร ตรวจตอนไหน
ที่สำคัญหมอเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คำตอบของแม่เพื่อนที่ทำให้ดิฉันมั่นใจและตัดสินใจได้ง่ายในการไปตรวจได้มาก
ที่สุดคือ
"หมอผู้หญิง"



โรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ในสังกัดของกรมการแพทย์ ซึ่งวันจันทร์ช่วงบ่ายเป็นคลีนิคมะเร็งปากมดลูก ดิฉันก็ตรงไปโรงพยาบาล
ประมาณบ่ายโมง ยื่นทำบัตรเป็นคนไข้ใหม่ พร้อมบอกว่าจะมาตรวจมะเร็งปากมดลูก เจ้าหน้าที่ห้องบัตรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อีกเล็กน้อย พร้อมบอกให้ไปที่ห้องหมายเลข 5 โดยไม่มองหน้าดิฉันเธอคงคิดว่าดิฉันน่าจะ (ฉลาดไ)ปได้ถูก
การมาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นครั้งแรกทำให้ดิฉันดูเงอะงะ แถมยังพกพาความอายมาด้วย ดิฉันจึงไม่กล้าถามเธออีกต่อไป ต้องรีบออกมาก่อนแล้วไปถามคนอื่นต่อ ดิฉันเดินตามคำบอกจนไปถึงห้องเบอร์ 5 จนได้


หน้าห้องเบอร์ 5 (ห้องเบอร์ 5 จริง ๆ นะ) ดิฉันเห็นผู้หญิงผู้ร่วมเกณฑ์อายุเดียวกันกับดิฉัน (30-50 ปี) นั่งรอรับการตรวจประมาณ
40 คน ภายในห้องเบอร์ 5 มีการแบ่งเป็นห้องตรวจย่อยอีก 5 ห้อง คือห้องตรวจ ก ข ค ง จ
ระหว่างการนั่งรอนั้น ดิฉันได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งปากมดลูกที่เจ้าหน้าที่ได้ติดประชาสัมพันธ์เอาไว้


เอ…ตัวเองเข้าเกณฑ์อันไหนบ้าง ที่เป็นสาเหตุของเจ้ามะเร็งปากมดลูก อย่างแรก ก็ตรงกับดิฉันมากที่สุด คืออายุระหว่าง
30-50 ปี ข้อที่เหลือหลังจากนั้นไม่ตรงกับดิฉันเลยคือ เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ร่วมเพศตั้งแต่อายุยังน้อย เคยเป็นโรคติดเชื้อ
ทางเพศสัมพันธ์ มีบุตรมากหรือมีบุตรตั้งแต่อายุยังน้อย อักเสบปากมดลูกบ่อย สูบบุหรี่จัดและเป็นกรรมพันธุ์


ดิฉันพยายามไล่เรียงเรื่องประสบการณ์ทางเพศของตัวเองกับเกณฑ์ "เสี่ยง" ที่แปะไว้หน้าห้องเบอร์ 5 ก็ยังเข้าข้างตัวเองว่าไ
ม่เข้าข่ายที่เหลือเลย และคิดว่าผู้หญิงหลายคนที่นั่งข้าง ๆ ดิฉันไม่น่าจะจัดข้อไหนเข้ากับตัวเอง ไม่รู้ว่าคุณหมอคุณพยาบาลกำลังสื่อสารเรื่องเหล่านี้กับผู้หญิงกลุ่มไหน หากพูดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
วัยรุ่นก็น่าจะได้รับการตรวจ เอ...หรือวัยรุ่นเหล่านั้นต้องรอจนอายุ 30 ก่อน การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย เอ…ความถี่ความบ่อยของ
การเปลี่ยนเนี่ยมันต้องวัดจากอะไร อย่างเราเข้าข่ายหรือเปล่า


ทีนี้ สายตาก็อ่านไล่ลงไปเจอเรื่องการป้องกัน "มะเร็งปากมดลูก" ก็ดูเหมือนง่าย ๆ แต่บางอย่างก็ยาก เช่น การรักษาความสะอาดของอวัยวะเพศทั้งหญิงและชาย เรื่องนี้ก็เรื่องใหญ่แล้วค่ะ เพราะบางคนสะอาดมาก ต้องล้างด้วย
"น้ำยาชำระล้างจุดซ่อนเร้น" สะอาดมากจนไม่มีเชื้อโรคเจ้าถิ่นที่ทำหน้าที่คอยปกป้องไม่ให้เชื้อต่างถิ่นเข้ามาได้ ก็พลอยหายสาบสูญไป เพราะเจ้าน้ำยาชำระล้างที่ขายกันเกลื่อนกลาด


ประสบการณ์ของดิฉันที่เคยใช้ยังจำฝังใจ เช้าวันหนึ่ง เป็นวันแรกของการใช้น้ำยาดังกล่าว ปรากฏว่า คันที่จิ๋มมาก เวลาที่คันจิ๋มเนี่ย
มันคันลึก ๆ ทรมานมาก เกาก็ไม่ได้ เพราะเกาไปก็ไม่ถูกที่คัน (ฮา) แถมมีอาการตกขาวร่วมอีก ผลของการใช้ครั้งแรกของดิฉันก็ทำให้
"เข็ดขยาด" ไม่ใช้อีกเลยจนกระทั่งปัจจุบัน ผู้รู้หลายคนบอกว่าล้างด้วยสบู่และน้ำเปล่า ก็โอ(เค)แล้วค่ะ


เรื่องที่ขาดไม่ได้ของการสื่อสารเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกคือ "ไม่สำส่อนทางเพศ" ฟังคุ้น ๆ ไหมคะ เหมือนกับการป้องกันเอดส์ไง ที่พูดแล้วเป็นยี่สิบปีไม่เข้าหูใครเลย เพราะเป็นด่ามากกว่าเป็นการบอก อันนี้เป็นเรื่องทัศนคติที่หยั่งรากฝังลึกที่มากับเรื่องเพศ แต่ขอบอกว่าวงการแพทย์ก็ยังบอกไม่ได้ว่าสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกมาจากอะไรกันแน่ แต่ว่าทางที่ดี "ไม่(น่า)สำส่อนทางเพศ"
เฮ้อ!



ระหว่างการนั่งรอ ผู้หญิงที่นั่งข้างซ้ายของดิฉันอายุประมาณ 50 ปีกว่า ส่วนข้างขวาน่าจะเพิ่งย่าง 30 ต้น ๆ เพราะหน้าเธอใสมากกว่าดิฉัน ส่วนหน้าดิฉันเริ่มวัยขุ่นเพราะเป็นวัยสามสิบตอนปลายแล้ว ดิฉันได้พูดคุยกับผู้หญิงผู้ร่วมประสบการณ์ของดิฉัน เป็นผู้หญิงอายุห้าสิบกว่า


ป้าบอกว่าเธอมาจากราชบุรี เป็นคนไข้ที่ถูกส่งตัวมาที่นี่และได้รับการรักษาต่อเนื่องมา 4 ปีแล้ว ป้าเล่าว่าไม่ได้มีอาการอย่างที่ป้ายหน้าห้องแปะไว้
แต่อย่างใด เพียงแต่หน้าท้องของป้าโตขึ้น ๆ แถมยังไม่ได้มีอาการเจ็บปวดเลยสักนิด ป้าจึงวางใจ แต่เจ้าก้อนเนื้อก็โตวันโตคืน แม้แต่ตอนท
ี่ป้านอนราบกับพื้น ยังมองเห็นได้ โดยไม่ต้องยกหัวขึ้นมามอง หลังการผ่าตัด ก้อนเนื้อของป้าหนักราว 6 กิโลกรัม แถมยังมีทั้งเนื้อดีและเนื้อร้าย
ปนกันอีกด้วย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ป้าต้องเข้าออกคลีนิคนี้เป็นเวลา 4 ปีแล้ว แต่ป้าก็บอกอย่างดีใจว่า ผ่านการทำเคมีบำบัดแล้ว ตอนนี้ป้าเป็นคนไข้ปกติ แต่ต้องมาตรวจ 6 เดือนครั้ง


ดิฉันเริ่มเสียวแปลบปลาบที่หัวใจพร้อมกับบอกตัวเองว่า เราไม่ได้เป็นแบบคุณป้าคนนี้แน่นอน แล้วก็หันไปคุยกับสาวออฟฟิศที่อยู่ข้างขวา
เธอบอกว่า นี่เป็นตรวจครั้งแรก ตื่นเต้นมาก แต่รอนานมาก มาหาหมอแต่ละครั้งต้องลางานเป็นวันเลย ตอนนี้ที่ออฟฟิศเขาให้ตรวจสุขภาพประจำปี ต้องตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วย ก็เลยต้องมาตรวจ ไม่อย่างงั้นก็คงไม่มาหรอกพี่ และแล้วสาวออฟฟิศก็ถูกเรียกให้เข้าไปตรวจตอนบ่ายสามโมง เธอได้หมายเลขตรวจที่ 26 ดิฉันก้มลงมองหมายเลขคิวตัวเอง หมายเลข 37 โอ ! ลอร่า แถมข่าวร้ายมาช้าอีก
วันนี้ ไม่มีหมอผู้หญิงขึ้นเวรเลยวันนี้ มีแต่หมอผู้ชาย ตายแล้ว "จิ๋ม"ฉัน


ประมาณสี่โมงเย็น ที่นั่งมองซ้ายมองขวา เหลือคนนั่งรอประมาณ 6-7 คน ก็มาถึงคิวดิฉันที่นั่งรอเกือบหลับมิหลับแหล่อยู่แล้ว พยาบาลเรียกเข้า
ไปในห้องตรวจ เธอพูดกับดิฉันให้เปลี่ยนผ้าถุง โดยไม่มองหน้าดิฉัน (อีกแล้ว) ว่า "เปลี่ยนผ้าถุง แล้วขึ้นขาหยั่ง" ดิฉันมองยังไงไม่เห็นมีหาผ้าถุง เห็นแต่ผ้าขี้ริ้วสีฟ้ากองอยู่ เธอก็ตะโกนมาจากหลังม่านสีฟ้าว่า "อยู่บนโต๊ะไง ไม่เห็นเหรอ" ดิฉันรีบตอบ "ไม่เห็นค่ะ"


ในความคาดหวังดิฉันคิดว่ามันต้องเป็นผ้าพับเรียงไว้ เมื่อคนไข้ใช้เสร็จก็วางลงในตะกร้า เหมือนกับโรงพยาบาลที่เคยเห็น คุณพยาบาลเธอส่ง
ผ้าถุงผืนใหม่ (สภาพไม่แตกต่างกัน) มาให้ ดิฉันจึงได้รู้ ผ้าขี้ริ้วที่ดิฉันเห็น มันเป็นผ้าถุงที่เธอบอกนั่นเอง มีผ้าถุงเพียงผืนเดียว แล้วดิฉันเป็น
หมายเลขที่ 37 มันต้องผ่านก้นใครมาบ้างแล้วทั้งวัน เธอชำเลืองมองหน้าดิฉันพร้อมกับบอกว่า "คราวหน้าต้องเตรียมผ้าถุงมาจากบ้านด้วยนะ" น้ำเสียงเธอบอกอาการไม่พอใจดิฉันเล็กน้อยที่เรื่องมาก(?)


นี่ก็เป็นความรู้ใหม่ต้องเตรียมผ้าถุงมาด้วย ก่อนขึ้นขาหยั่ง สายตาก็มองไปเห็นกาละมังใส่ปากเป็ด(เครื่องมือเพื่อเปิดปากมดลูก) หลายขนาดวางกอง ๆ
กัน อีกแหละค่ะ ดิฉันคิดว่ามันน่าจะถูกห่อหรือ (น่า) ถูกจะถูกอนามัยมากกว่านี้ พร้อมกับสายตาเจ้ากรรมเหลือบไปมองถังขยะที่เกือบล้น พร้อมกับก้านสำลีที่มีเลือดสด ๆ ติดอยู่หลายก้าน ยิ่งทำให้หัวใจของดิฉันเล็กลง ลีบลง ๆ


แต่ดิฉันเปลี่ยนใจไม่ได้แล้วค่ะ ก็ก้าวขึ้นขาหยั่ง ที่ถ่างขา หย่อนก้น อย่างที่คุณพยาบาลบอก จากนั้นเธอก็เอาชุดสีขาวมาให้ดิฉัน พร้อมกับบอกว่า ให้ใส่ถุงเท้าก่อนขึ้นขาหยั่ง ดิฉันก็มองหาถุงเท้ารอบ ๆ ตัว ก็คิดว่าน่าจะเป็นถุงเท้าอย่างที่เรา ๆ ท่านเคยใช้กัน ปรากฏว่า ไม่ใช่ค่ะท่านผู้อ่าน มันเป็นชุดที่คุณพยาบาลถืออยู่นั่นแหละ เป็นเหมือนกางเกงแต่เย็บปลายขากางเกงเหมือนถุงเท้า แล้วช่วงเอวก็เปิดช่วงเป้าเอาไว้ เพื่อให้หมอเห็น
ได้ชัด แต่ความรู้สึกนะตอนนั้น มันเย็นมาก ๆ พร้อมกับหวั่น ๆ ว่า คนอื่นกำลังจะเห็น "จิ๋ม" เราแล้ว รู้สึกได้ว่า "หน้าชามาก" ตอนที่เห็นหน้าหมอผู้ชายเปิดผ้าม่านเข้ามา ถึงแม้ว่าหมอจะเป็นผู้ชายที่อายุย่างวัยใกล้เกษียณ ท่าทางใจดีแล้วก็ตาม ด้วยอะไรก็ไม่รู้ ดิฉันก็ขยับ
ก้นขึ้นไป หมอก็บอกว่า "หย่อนก้นลงมาอีก หย่อนลงมา" (หมอคงนึกว่า จะอายอะไรกันนักกันหนา)


หมอหยิบปากเป็ดอันหนึ่งขึ้นมา พร้อมถามดิฉันคำถามแรกว่า "เคยคลอดลูกหรือเปล่า" ดิฉันตอบว่า "ไม่เคยค่ะ" หมอถามอีกว่า
"เคยคุมกำเนิดหรือเปล่า"
ดิฉันก็เข้าใจว่า คงหมายถึงการกินยาคุม การฝังยาอะไรทำนองนั้น ดิฉันก็ตอบว่า "ไม่เคยค่ะ" จากนั้นหมอจึงเปลี่ยนปากเป็ดอันเล็กกว่าเดิม พร้อมกับสอดเข้าไปในช่องคลอดของดิฉัน ความรู้สึกว่า มันเย็นวาบเข้าไปค่ะ


สักครู่หมอบอกว่า "เบ่งเหมือนตอนที่จะถ่าย มันจะเจ็บเล็กน้อย หมอจะขูดเนื้อเยื่อผนังมดลูก" ดิฉันไม่รู้หรอกว่าใช้อะไรขูดหรือเครื่องมือ
อันไหน แต่ดิฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างไร หมอก็ถอดเครื่องมือออก จากนั้นหมอก็บอกว่าให้ทำท้องหลวม ๆ หย่อน ๆไม่ต้องเกร็ง หมอจะกดท้อง
คุณหมอก็คลำ ๆ ไปพร้อมกับถามว่า "ปวดฉี่ใช่ไหมเนี่ย ทำไมไม่ฉี่ให้เรียบร้อยก่อน" ดิฉันบอกว่า "ฉี่แล้วค่ะ แต่ว่ารอนานมาก ก็เลยปวดอีก" คุณหมอก็หัวเราะเล็กน้อย จากนั้นหมอก็กดบริเวณท้องน้อยของดิฉัน ถามว่าเจ็บไหม ดิฉันบอกว่า "ไม่เจ็บ แต่ปวดฉี่" จากนั้นหมอบอกว่า "เสร็จแล้ว ลงมาจากขาหยั่ง แล้วมาคุยกับผม"



ดิฉันก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า มานั่งคุยกับหมอระหว่างทางเดินแคบ ๆ ซึ่งทั้งหมอ พยาบาลคนอื่น ๆ ก็นั่งเรียง ๆ กันไป


หมอถามอีกว่า "เคยคุมกำเนิดหรือเปล่า" ดิฉันตอบว่า "ไม่เคยค่ะ" แต่เห็นคุณหมอไม่เข้าเรื่องซักที ได้แต่อ้อมไปอ้อมมา ดิฉันเลยตอบเพิ่ม
ไปว่า "แต่ใช้ถุงยางอนามัยค่ะ" คุณหมอของดิฉันได้ทีเลยค่ะ "นั่นแหละเป็นการคุมกำเนิด แล้วตะกี้หมอถามว่าเคยมีเพศสัมพันธ์หรือเปล่า
คุณก็ตอบว่าไม่เคย" ดิฉันรีบแย้งไปทันที "หมอไม่ได้ถามว่าเคยมีเพศสัมพันธ์หรือเปล่า แต่หมอถามดิฉันว่า เคยคลอดลูกหรือเปล่า ดิฉันก็ตอบ
ความจริงว่า ไม่เคย ซึ่งหากหมอถามดิฉันตรง ๆ ดิฉันก็จะบอกตรง ๆ ค่ะ"


ดิฉันสังเกตเห็นหน้าคุณหมอยิ้ม ๆ (ดิฉันเหลือบดูหน้าพยาบาลคนนั้น พี่แกก็ยังหน้าตึงเหมือนเดิมเป๊ะเลย) พร้อมกับพูดว่า "จริงเหรอ
หมอไม่ได้ถามเหรอ หมอมักจะไม่ถามว่าแต่งงานหรือเปล่า ถามเรื่องการแต่งงานไม่ได้มีความหมายอะไร เพราะบางคนใช้นางสาวแต่มี
ลูกสองคนแล้ว" พร้อมกันนั้นดิฉันคิดในใจว่า "คุณหมอขา ถามเรื่องการคลอดลูก การคุมกำเนิดหรือเปล่านี่นะ เพื่อให้แน่ใจว่าคนไข้เคยมีเพศสัมพันธ์ ทำไมหมอไม่ถามตรง ๆ ว่าเคยมีเพศสัมพันธ์หรือเปล่า อีกอย่างค่ะคุณหมอ การใช้ถุงยางของดิฉันและแฟนหนุ่ม เพราะเราทั้งคู่ชอบใช้ถุงยางอนามัย
มากกว่า ชายหนุ่มของดิฉันบอกว่า ช่วยชะลอการหลั่งของเขา ส่วนดิฉันไม่อยากกังวลเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่าเรื่องการคุมกำเนิด"


คุณหมอใจดีถามดิฉันต่อว่า "มีเพศสัมพันธ์ตามปกติหรือเปล่า" ดิฉันคิดหนัก เอ….ปกติของคุณหมอหมายถึงอะไรหว่า รูปแบบความสัมพันธ์
หรือว่าท่าทาง แต่ดิฉันคิดได้อย่างหนึ่งว่า น่าจะเป็นความถี่ของการร่วมเพศ จึงตอบคุณหมอไปว่า "มีครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ
ตอนนี้แฟนไม่อยู่แล้ว" คุณหมอเงียบไปเลย คงคิดว่า แฟนดิฉันตายไปแล้ว หรือเลิกรากันไปแล้วก็ได้ หรือไม่หมอก็ไม่อยากเห็นต่อมน้ำตาของดิฉันแตก
เปล่าหรอกค่ะคุณหมอขา เพียงแต่แฟนดิฉันมีความจำเป็นต้องอยู่อีกที่หนึ่ง ส่วนดิฉันก็จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ เราทั้งสองคนยังไม่พร้อมที่อยู่ร่วมกัน


หมอใจดีบอกผลการตรวจว่า "หมอคลำเจอก้อนเนื้อประมาณ 5 เซน บริเวณปีกมดลูกซ้ายของคุณ หมอนัดให้คุณมาตรวจอัลตราซาวน์พร้อมกับฟังผลการตรวจในวันศุกร์นะ"


ความรู้สึกของดิฉันเบาหวิวขึ้นทันทีทันใด แจ๊คพ๊อตแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ดิฉันก็ยังมีใจบอกกับหมอว่า "จริง ๆ
เจอหมอผู้ชายไม่ได้น่ากลัว อย่างที่ถูกบอกว่าน่ากลัวเลยค่ะหมอ" หมอก็บอกดิฉันว่า "ขอบคุณครับ หมอก็คนปุถุชน คนธรรมดานี่แหละครับ ก็มีบางคนที่เราไม่อยากเจอ แต่ก็ต้องเจอ"



ดิฉันออกมาจากห้องคุณหมอพร้อมกับความหนักหน่วงในใจของตัวเอง ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก คงไม่ใช่เนื้อร้าย โชคดีที่เราเจอมันตอนที่มันเป็นก้อนเล็ก ๆ (ใหญ่เหมือนกันนะ ห้าเซนติเมตรแน่ะ) ออกมาเจอพยาบาลก็บอกดิฉันว่า ให้ไปห้องอัลตราซาวน
์เพื่อขอนัดตรวจ จากนั้นให้ไปจ่ายเงิน แล้ววันศุกร์ให้มายื่นบัตรนัดที่หน้าห้องเบอร์ 5 อีกครั้ง กลับบ้านได้ ไม่กลับบ้านได้อย่างไร ก็ตอนนั้นสี่โมง
ครึ่งเป๊ะ ทั้งกระบวนการส่วนใหญ่หมดไปกับการรอคอย (เฮ้อ!)


นั่งรถเมล์กลับอพาร์ตเม้นท์ ดิฉันได้แต่มึน ๆ งง ๆ ว่า ใครจะช่วยคุยกับดิฉันระหว่างนี้ ดิฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ ได้แต่นึกเข้าข้างตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอกน่า ต้องไม่ใช่เนื้อร้ายแน่ ๆ แต่วันนี้เพิ่งวันจันทร์เอง กว่าจะถึงวันศุกร์ เราต้องแบกความหนักใจไว้อีกตั้งสี่วัน


สิ่งที่ช่วยได้คือการกดโทรศัพท์เพื่อไปคุยกับญาติ คุยกับเพื่อนคนแล้วคนเล่า ชายหนุ่ม เพื่อนที่ทำงาน เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกัน ทุกคนก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่ที่รู้แน่ ๆ คือ


ค่าโทรศัพท์เดือนนี้พุ่งกระฉูดค่ะ แต่ไม่มีใครทำอะไรได้มากกว่านี้ ดิฉันและผองเพื่อนต้องรอ จนกว่าจะถึงวันศุกร์หน้า


 ...........


เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๕ ธ.ค. ๒๕๔๘