Skip to main content

มา "ตรวจจิ๋ม" กันเถอะ 2

คอลัมน์/ชุมชน

1


ก่อนอื่นต้องขอโทษท่านผู้อ่านก่อนนะคะ เพราะว่าได้ทิ้งระยะห่างของการเขียนตอนแรกกับตอนที่สองนานพอสมควร เพราะผู้เขียนต้องไปเจอหมออีกสองครั้ง เพื่อให้ข้อมูลกระจ่างมากขึ้น ประกอบกับเหตุการณ์เศร้าสลดช่วงส่งท้ายปีเก่า พอกลับมามองเรื่องราวที่เกิดกับเราที่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่หลวงนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงฝุ่นผงเท่านั้นเอง


หลังจากได้พูดคุยกับพี่น้อง เพื่อนฝูงได้รับรู้เรื่องก้อนเนื้อบริเวณปีกมดลูกของดิฉัน หลายคนได้ปลอบใจว่าเรื่องคงไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เราวิตกกังวลหรอก และต้องรอผลการตรวจจากหมอเท่านั้น แต่พอบอกใครต่อใครว่า ขนาดก้อนเนื้อที่หมอคลำได้นั้น มีขนาดประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อนก็ล้วนร้อง "โอโฮ ขนาดใหญ่นะ" เพื่อนคนหนึ่งบอกให้เห็นภาพว่ามันใหญ่เท่ากับ "ไข่ไก่" ฟองหนึ่ง ซึ่งพอนึกถึงปีกมดลูกที่มีไข่ไก่อยู่ข้าง ๆ อืม ขนาดก็พอสมควร แต่ทำไม เราไม่ได้อาการเจ็บปวดแต่อย่างใด


หลังจากความวิตกกังวลผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว ความวิตกกังวลอันใหม่ คือ "ค่าโทรศัพท์มือถือ" ได้เข้ามาแทนที่ ดิฉันได้นึกถึงสภาพของตัวเองที่มาจากต่างจังหวัด เข้ามาอยู่ในห้องเช่าคนเดียวอยู่ในเมืองหลวง เมื่อคิดถึงว่ากรุงเทพนั้นกว้างใหญ่แค่ไหน ความเหงาก็วิ่งเข้ามาเกาะหัวใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ (เฮ้อ) หากต้องให้เดินทางไปหาเพื่อนเพื่อพูดคุย ระบายความกลัดกลุ้ม คิดว่าการกดโทรศัพท์ได้นั้นง่าย แต่เราก็ต้องยินดี "จ่าย" อยู่นั้นเอง


ด้วยความใจร้อนบวกกับความกระวนกระวายที่ต้องรอให้ถึงวันนัด "วันศุกร์ หน้าห้องเบอร์ห้า" แต่พอถึงวันนัดจริง ๆ ดิฉันกลับตื่นสาย ทำให้ดิฉันต้องกระวนกระวายมากกว่าเดิม รีบฉวยใบนัดทั้งสองใบของห้องเบอร์ 5 กับห้องอัลตร้าซาวด์ และบัตรคนไข้ ดิฉันช้าไป 20 นาที แล้วตรงไปที่หน้าห้องเบอร์ห้าเสียบใบนัดไว้ก่อน จากนั้นก็ถือใบนัดอีกใบไปที่ห้องอัลตร้าซาวด์ที่อยู่ตึกหนึ่ง เจ้าหน้าที่หน้าห้องบอกว่า "เข้าห้องน้ำ ปัสสาวะให้เรียบร้อย แล้วนั่งรอหน้าห้อง"


ขณะนั้นก็มีคนนั่งรอประมาณ 4-5 คน ประมาณหนึ่งชั่วโมง ดิฉันถูกเรียกตัวอีกครั้งให้เข้าไปในห้อง ในห้องสี่เหลี่ยม เจ้าหน้าที่คนเดิมบอกให้ดิฉันเปลี่ยนผ้าถุง (จากประสบการณ์คราวที่แล้ว ดิฉันเอาผ้าถุงใส่กระเป๋าไปด้วย) แต่คราวนี้ผิดคาดมากค่ะ ผ้าถุงสีขาวถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ รีดแข็งเป๊ก แถมยังมีถังสีฟ้า มีฝาปิดสำหรับใส่ผ้าถุงที่ใช้แล้วอีกต่างหาก ไม่อยากเชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลเดียวกัน เพียงแต่คนละตึกเท่านั้นเอง มาตรฐานความสะอาดแตกต่างกันมาก ขอบอก


จากนั้นก็ขึ้นเตียง มีหมอนเล็ก ๆ ไว้หนุนก้นของเราให้สูงขึ้น เพื่อให้อำนวยความสะดวกต่อเจ้าเครื่องมือ ก่อนการสอดเจ้าเครื่องมือ หมอฝึกหัดสาวก็ถามดิฉันว่า "มีแฟนหรือยัง" ดิฉันได้แต่คิดในใจ "เฮ้อ คงหมายความถึง เคยมีเพศสัมพันธ์แล้วหรือยัง" ดิฉันก็ตอบไปว่า "มีแฟนแล้ว" หมอก็มาแนวเดิมว่า "อ้อ ต้องมีแฟนแล้วซิ ถึงจะใช้การตรวจที่ใช้เครื่องซาวด์เข้าไปในช่องคลอด"


ก่อนหมอสอดเครื่องมือเข้าไป ดิฉันเหลือบเห็นหมอผู้หญิงใส่ถุงยางอนามัยครอบเครื่องมือ พร้อมกับหยอดเจลหล่อลื่นก่อนสอดเข้าไปในช่องคลอดดิฉัน ดิฉันเห็นดังนั้นก็สบายใจยิ่งนัก อย่างน้อยก็ไม่ต้องติดเชื้อเอชไอวีจากเครื่องมือหมอ (ฮา) แต่ก็มีสิ่งหนึ่งทำความรำคาญให้ดิฉัน (มาก) ระหว่างการตรวจคือ มีหมอผู้ชายหนึ่งคน นักศึกษาแพทย์ฝึกหัดหนึ่งคน หมอจะคุย "ภาษาหมอ" เกี่ยวกับร่างกายของดิฉัน ซึ่งเราเป็นคนไข้เราก็อยากรู้เราเป็นอะไร มีอะไรผิดปกติ แต่อนิจจา ดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง แต่ดูเหมือนว่าพรมแดนของความรู้หมอไม่ได้กระจายมาสู่คนไข้อย่างเรา ๆ จึงได้ฟังภาษาอังกฤษปนไทยเล็กน้อย เท่านั้นเอง


2


ระหว่างการรอผล ดิฉันได้พยายามถามหมอเรื่องอาการของดิฉัน หมอบอกให้ดิฉันสักครู่นะ รอการพิมพ์ (ปริ๊นซ์) ออกมาก่อน พอผลออกมาก็อ่านผลให้ดิฉันฟัง "หมอคิดว่าเป็นชนิดที่ไม่น่าจะร้ายแรง ขนาดประมาณ 6 เซนติเมตร อยู่ที่ปีกมดลูกขวา ส่วนปีกซ้ายไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ" เชื่อไหมคะ หมอบอกเท่านี้จริง ๆ ค่ะ ดิฉันต้องถือผลการตรวจไปให้หมอที่ห้องเบอร์ห้าอ่านให้ฟังอีกรอบ


ดิฉันมานั่งรอการเรียกพบหมอที่ห้องหมายเลขห้า (อีกครั้ง) พร้อมกับฟังผลของการตรวจมะเร็งปากมดลูกของดิฉัน (การตรวจมะเร็งปากมดลูกกับการอัลตราซาวด์ปีกมดลูกของดิฉันคนละอย่างกันนะคะ) ซึ่งก็ทำให้ใจดิฉันเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วค่ะ ต้องนั่งรอคิวอีก แล้วก็ถึงเวลาที่รอคอย หมอเรียกดิฉันให้ไป พร้อมกับการอ่านผลของการตรวจทั้งสองชนิด


อย่างแรก หมออ่านผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกว่า ผลออกมาปกติ ไม่มีอาการของมะเร็งปากมดลูกแต่อย่างใด อย่างที่สอง หมออ่านผลการตรวจอัลตราซาวด์ก้อนเนื้อบอกว่า มีขนาด 4 เซนติเมตร (หมอห้องอัลตราซาวด์บอกว่า 6 เซนต์ เชื่อหมอไหนดีเนี่ย) พร้อมกับเสนอทางเลือกให้กับดิฉันสามทางค่ะ อย่างแรกให้ติดตามผลอีกสามเดือนข้างหน้าให้มาตรวจใหม่ ทางเลือกสองคือ ต้องผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ทางเลือกที่สามคือการผ่าตัดแบบส่องกล้อง หมอจะเจาะสามรูเล็ก ๆ เมื่อแผลหายแล้วจะมีร่องรอยแผลเล็ก ๆ แค่สามแผลบริเวณหน้าท้อง การเจ็บปวดน้อยกว่า อยู่โรงพยาบาลก็น้อยกว่า แต่แน่นอนราคาแพงกว่า


ดูเหมือนว่าหมอให้ทางเลือกกับดิฉันนะคะ แต่ช้าก่อน หมอบอกว่าวิธีแรกนั้น ก้อนเนื้อนั้นอาจพัฒนาเป็นมะเร็งก็ได้ ส่วนการผ่าตัดหน้าท้องนั้นเจ็บมาก แผลหายช้าและเป็น "ตราบาป" ให้กับความเป็น "นางสาว" ของดิฉัน สรุปแล้วคุณหมอ (เสนอ) ให้เลือกทางที่สามค่ะ ค่าผ่าตัดประมาณสองหมื่นบาท ช่วงนั้น สติมึนคง สับสน คุณหมอก็บอกว่า หมอจะนัดหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดใช้กล้องให้นะ มาพอพบหมอคราวหน้า แต่พอดิฉันได้สติก็คิดว่า ดิฉันดูเหมือนมีทางเลือก แต่ดิฉันไม่มีทางเลือกอยู่นั่นเอง (ฮา ไม่ออกแล้วค่ะ)


3


สัปดาห์ต่อมา ดิฉันก็ไปนั่งรอหน้าห้องเบอร์ห้าอีกครั้ง ระหว่างการรอดิฉันได้ยินเรื่องราวของผู้หญิงหลายคน หลากหลายปัญหา ไม่ใช่ว่าดิฉันจะสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น แต่คิดว่าทุกคนที่นั่งรอก็น่าจะได้ยินเหมือนกันหมด เพราะว่าห้องที่นั่งรอก็ทั้งหมอและคนไข้ก็ต่างนั่งเรียงแถวกัน ส่วนดิฉันนั่งรอระหว่างทางเดินแคบ ๆ ห่างประมาณช่วงแขนเดียว


ช่วงเช้า ดูจะเป็นเรื่องการแจ้งผลการตรวจ ดังนั้นก็จะมีหมอมานั่งเรียงเป็นแถวพูดคุยกับคนไข้ ผู้หญิงคนก่อนมีปัญหาเรื่องการมีลูกยาก น้องผู้หญิงคนถัดมายังใช้คำนำหน้าว่า "เด็กหญิง" อยู่เลย แต่ต้องมาตรวจภายใน เนื่องจากประจำเดือนเธอมาทั้งเดือนเลยค่ะ คนที่อยู่ข้างซ้ายมือดิฉันนั้น หมออีกคนกำลังถามว่าเธอมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ พยาบาลกำลังบ่นเพื่อนร่วมงานที่อู้งาน ผู้ช่วยพยาบาลบอกเพื่อนร่วมงานให้รีบเคลียร์แฟ้มคนไข้ งานจะได้เสร็จทันตอนเที่ยงพอดี


เฮ้อ สักครู่ดิฉันเห็นพยาบาลจากอีกห้องมาบอกหมอผู้ชายว่า "หมอขา คนไข้คนนี้ไม่ยอมให้ตรวจภายในค่ะ" หมอผู้ชายมองหน้าหญิงสาวหน้าใส พร้อมกับบอกว่า "หากไม่ยอมตรวจทางช่องคลอด ต้องตรวจทางทวารหนักนะครับ เดี๋ยวจะให้หมอผู้หญิงตรวจให้ก็แล้วกัน" คนไข้สาวจึงยอมเดินก้มหน้า คอตก กลับเข้าไปในห้องตรวจตามเดิม ดิฉันคิดว่าเธอคงอายมาก ซึ่งไม่แปลกหรอกที่เธออาย เพราะผู้หญิงเราส่วนใหญ่ก็อายทั้งนั้น เลยไม่มีใครยอมมาตรวจภายในกัน ดิฉันได้แต่นั่งมองความเป็นไปภายในห้องเบอร์ห้า และรอคอยอย่างเงียบ ๆ


หลังการรอคอยประมาณหนึ่งชั่วโมง ดิฉันก็ได้พบกับ "หมอผู้เชี่ยวชาญเรื่องการผ่าตัดแบบส่องกล้อง" หมอพลิก ๆ อ่าน ๆ ประวัติคนไข้ของดิฉัน แต่ทำให้ดิฉันประหลาดใจมากคือ หมอพูดออกมาว่า "อะไรนี่ ส่งเคส (คนไข้) อะไรมา ไม่เห็นรู้เรื่องเลย ซีสต์แบบนี้ผ่าตัดแบบส่องกล้องไม่ได้ เพราะเป็นซีสต์แบบไขมัน เดี๋ยวมันจะแตก ต้องผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเท่านั้น"


อ้าว หมอขา สองหมอในโรงพยาบาลเดียวกันเนี่ย ดิฉันจะไปทางไหนดี หมอถามดิฉันว่า "จะแต่งงานไหม จะมีลูกไหม" ดิฉันตอบว่า "ไม่รู้ค่ะ แต่ว่าก็มีแฟน" หมอก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เมื่อคุณหมอไม่พูดต่อดิฉันก็ถามรัวว่า "หมอคะ ก้อนซีสต์มันอันตรายไหม มันจะกลายเป็นมะเร็งไหม แผลผ่าตัดมันจะใหญ่ไหม" หมอบอกว่า "ไม่มีใครบอกได้ว่ามันอันตรายไหม หมอถึงต้องผ่าตัดออกมาไง อย่างน้อยเอามันออกมาก่อน ส่วนแผลมันจะใหญ่หรือไม่ ก็ช่างมันปะไร"


อ้าว หมอขา เป็นช่วงที่ดิฉันมึนงงมาก หมอก็ถามดิฉันต่อว่า "พร้อมที่จะผ่าตัดไหม หากพร้อม หมอจะลงนัดให้ หากไม่พร้อมก็รอก่อน" ตอนนั้นดิฉันก็ตัดสินใจพร้อมกับพูดว่า "ยังไม่พร้อมค่ะ" ส่วนในใจดิฉันคิดว่า ต้องไปหาหมอโรงพยาบาลแห่งที่สองเพื่อยืนยันการตรวจให้มั่นใจก่อนการเสียเงินและเจ็บตัว ไม่งั้นดิฉันต้องเจ็บใจเพิ่มอีกอย่างเป็นแน่ แต่ยังไงดิฉันก็ยัง "ต้อง" อยู่ในมือหมออยู่ดี


4


อย่างไรก็ตาม นับว่าเป็น "ข่าวดี" ที่ตัดสินใจไปตรวจมะเร็งปากมดลูก เพราะดิฉันรู้สึกว่า "ปกติ" ไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ที่ต้องเรียกว่า "ข่าวดี" เพราะไม่ได้เป็นอะไรที่ร้ายแรง เพียงแค่รู้สึกหน่วง ๆ ทำให้อยากตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วย จากนั้นก็เริ่มหาข้อมูล ทำให้ดิฉันได้ข้อมูลว่ามะเร็งที่ผู้หญิงเจอมากเป็นอันดับหนึ่งคือ "มะเร็งปากมดลูก" รองลงมาเป็น "มะเร็งเต้านม"ข้อมูลจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติ http://www.healthnet.in.th/text/forum1/cancer/ca1.html เฮ้อ ล้วนเป็นที่มะเร็งที่เกิดที่อวัยวะที่เป็นเพศหญิงเสียด้วย ซึ่งผู้หญิงเราก็ให้ความสำคัญกับอวัยวะเหล่านี้มาก แถมยังมี "ความอาย"ที่เป็นอุปสรรคก้อนใหญ่ที่ทำให้ผู้หญิงไม่กล้าไปหาหมออีก


ลักษณะอาการที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงอันจะเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้นั้น แบ่งเป็นระยะเริ่มต้นที่เซลล์ปากมดลูกเปลี่ยนแปลงก่อนเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งไม่มีอาการใดทั้งสิ้น และต่อมามะเร็งเริ่มต้นที่ผิวปากมดลูกซึ่งไม่เกิดอาการใด ๆ ทั้งสิ้นเช่นกัน แต่จะเริ่มมีอาการผิดปกติในระยะที่ 3 และ 4 ที่ผู้ป่วยพอสังเกตได้ โดยมะเร็งจะเริ่มกินที่ในเนื้อปากมดลูก อาจมีเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ และตามด้วยมะเร็งที่กินเข้าไปในเนื้อปากมดลูกมากแล้ว มีเลือดออกผิดปกติอาจมีตกขาวผิดปกติตามมาhttp://www.uboncancer.com/NewsCancershow.ASP?Number=44


การไปตรวจภายในก็มีข้อแนะนำคือ ไม่ควรมาตรวจในระหว่างมีประจำเดือน ควรรอให้หมดประจำเดือน 3-4 วัน ก่อนมาตรวจ งดเพศสัมพันธ์ งดใช้ยาเหน็บช่องคลอดอย่างน้อย 3 วันก่อนมาตรวจ ไม่สวนล้างช่องคลอดก่อนมาตรวจ ทำความสะอาดอวัยวะภายนอกเท่านั้น ถ้ามาตรวจภายใน พบการอักเสบบนปากมดลูก ต้องทำการรักษาก่อน แล้วจึงมาตรวจใหม่เมื่อรักษาการอักเสบดีขึ้นแล้ว


ระยะเวลาของการตรวจ ถ้าไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เช่น ตกขาว เลือดออก กะปริบกะปรอยจากช่องคลอด ควรมาตรวจปีละหนึ่งครั้ง สม่ำเสมอทุกปี ก่อนหน้านี้ดิฉันไม่ได้มีข้อมูลอะไรมากมาย ได้แต่คิดว่าหลังประจำเดือนหยุดไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ดิฉันจึงไปหาหมอ แต่ถือว่าเป็นการคาดเดาได้อย่างถูกต้อง


ดิฉันไม่เคยรู้สึกว่า เจ้าซีสต์ก้อนนี้อยู่กับดิฉันมานานแค่ไหนแล้ว ทำให้รู้สึกว่า "ดีแล้วที่มาตรวจก่อนที่มันจะใหญ่โตมากกว่านี้" พร้อมกับได้ข้อคิดว่า หากเราใส่ใจเรื่องสิวบนใบหน้า เราก็ควรใส่ใจ "จิ๋ม" ของเราด้วย เพราะทุกส่วนก็มีคุณค่าเท่ากันหมด ร่างกายของเราไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราอับอายค่ะ


ข่าวดีส่งท้าย การตรวจ "จิ๋ม"นั้น สามารถใช้บัตรทองได้ด้วยนะ(ขอบอก) แต่บริการจะ "ทอง" ด้วยหรือเปล่านี่ไม่รับประกันค่ะ ส่วนการจะไปตรวจหรือไม่ตรวจ "จิ๋ม" นั้น ลองหยิบเรื่องของดิฉันไปพิจารณาดูก็ได้ค่ะ


 ...........


เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ ม.ค. ๒๕๔๘