Skip to main content

ผ้าใบฯ ตะลุยเมืองเชียงใหม่ (ตอน 1)

คอลัมน์/ชุมชน

 


เชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่าน คงจะสงสัยว่าทำไมทั้งๆ ที่ " เรือนพักนักเดินทาง " ตั้งใจจะให้เป็นพื้นที่สำหรับเล่าเรื่องการเดินทาง แต่ไหงงานที่ผมเขียนกลับวนเวียนแต่การหาเรื่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เพียงเท่านั้น ( โชคดีที่ตอนนี้เรามีไกด์อู๋มาร่วมวง เพื่อทำให้เรือนพักฯ ไปไกลกว่ากทม . เสียที ;-)


ก็ต้องบอกกันเสียเลยว่า ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าขณะนี้กระเป๋าสตางค์ของผมเบามากจนถึงขนาดที่ถ้าเอาเชือกร้อยดี ๆ สามารถนำกระเป๋าสตางค์ของผมไปเล่นแทนว่าวที่สนามหลวงได้เลยครับ


แต่อยู่ดี ๆ โอกาสในการไปต่างจังหวัดของผมก็มาถึง เมื่อผมต้องขึ้นไปทำงานที่แม่ฮ่องสอน ในขณะที่ชาวประชาไทหลายชีวิตก็มีภารกิจที่ต้องขึ้นมาที่จังหวัดเชียงใหม่หลังจากที่งานที่แม่ฮ่องสอนจบลง 2-3 วัน


ดังนั้น ทางประชาไทจึงดำริให้ผมไปรอที่เชียงใหม่อยู่ก่อน เพื่อ " หาอะไรเขียนไปก่อน " จนกว่าพี่ ๆ จะขึ้นไปถึง ซึ่งฟังเผิน ๆ มันก็น่าสนุกอยู่นะครับ


แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า ผมไม่เคยมาเชียงใหม่เลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นผมจึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับที่นี่ นอกจากรู้ว่ามันเป็นแหล่งท่องเที่ยว และสาว ๆ น่ารักเท่านั้น


ดังนั้นสำหรับหลาย ๆ คน เชียงใหม่คงไม่ใช่เมืองแปลกหน้า แต่สำหรับผม มันลึกลับไม่ต่างกับการเดินทางขึ้นดอยที่แม่ฮ่องสอนเลย ทำให้ผมสงสัยว่าจริงๆ แล้วพี่ ๆ เขาต้องการให้ผมได้เที่ยว หรือจริง ๆ แล้ว พี่ๆ เขาต้องการจะลงโทษผมในฐานะที่อู้ หนีงานไปเที่ยวเมื่อครั้งกระโน้น ... ( กรุณากลับไปดูที่ " เรือนพักนักเดินทาง " ชิ้นหลังสุดที่ผมเขียนครับ )


แต่ไหน ๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมก็เคยคิดฝันจะมาเที่ยวเชียงใหม่มาตั้งนานแล้ว และโอกาสที่จะมาเที่ยว เอ่อ ... ทำงานที่นี่แบบนี้ก็หาไม่ได้ง่าย ๆ เสียด้วย ผมจึงตัดสินใจตกลงยอมรับแผนการนี้ ...


อาทิตย์ 27 กุมภาพันธ์ 48


ผมเดินทางมาถึงเชียงใหม่ในช่วงเย็นของวันนั้น ซึ่งผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะไป " ถนนคนเดิน " ที่จัดกันทุกวันอาทิตย์ เพราะเห็นหลาย ๆ คนเล่าให้ผมฟังว่าถนนคนเดินที่นี่มีสีสันมากกว่าถนนเดินที่ ( เคย ) มีอยู่ที่กรุงเทพฯ


แต่ก่อนที่ผมจะคิดถึงถนนคนเดิน ผมควรจะคิดว่าคืนนี้ผมจะไปนอนที่ไหนดีละเนี่ย ...


ผมเลยปรึกษาพี่ภู - นักข่าวประจำภาคเหนือของประชาไทที่บังเอิญเดินทางมาด้วยกัน และบังเอิญอีกเช่นกันที่พี่ภูก็มีอาศัยอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ด้วย ผมเลยได้อาศัยแกช่วยเหลือในตอนต้น


การเดินทางในเมืองเชียงใหม่ของผมเริ่มต้นด้วยการแวะไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านของพี่ภู หลังจากนั้นก็เป็นภารกิจการหาที่พักของผม ด้วยการที่ผมต้องนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์พี่ภูตระเวนรอบเมืองเชียงใหม่ เพื่อหาที่พักกัน


จากการมองเชียงใหม่ด้วยสายตาอันบริสุทธิ์ (เอ่อ…หมายถึงความบริสุทธิ์จากการได้เห็นเชียงใหม่ครั้งแรก โดยไม่มีอคติใด ๆ เจือปนนะครับ) ผมรู้สึกว่าเชียงใหม่เองก็มีหลาย ๆ ส่วนที่คล้ายกับกรุงเทพฯ อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นรถราที่ขวักไขว่เสียเหลือเกิน และตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ


หากแต่มันเป็นกรุงเทพฯ ที่จอแจน้อยกว่ากรุงเทพฯ หน่อยนึง และมีภูเขาสูงเป็นฉากหลัง และมีภาพน่ารัก ๆ เช่น สาว ๆ มช. ตั้งโต๊ะขายนมสดใส่ถุงอยู่ข้างรั้วมหา ' ลัย


มอเตอร์ไซค์คันนั้นพาผมมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งแถว ๆ ถนนช้างเผือก ที่เขาการันตีว่าเป็น โรงแรมที่ "ถูกที่สุดในเชียงใหม่" แล้วมันก็ถูกจริงๆ ด้วยอัตราที่นอนห้องแอร์ 200 กว่าบาทต่อ 1 คืน ผมจึงจัดแจงรีบเอาของขึ้นไปเก็บในห้อง แล้วก็เตรียมตัวไปยังถนนคนเดิน…สถานที่แรกในการตะลุยตัวเมืองเชียงใหม่แบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ของผม


แต่พอจะเดินจากห้องพัก…เอ๊ะ ทำไมประตูห้องมันล็อกไม่ค่อยได้วะเนี่ย? แต่จนแล้วจนรอด หลังจากพยายามกันอยู่สักพัก ก็สามารถล็อกประตูได้


โดยที่ไม่รู้เลยว่า … มันจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นต่อไปในคืนนี้


ผมเดินออกมาจากโรงแรม เรียกรถแดง (รถสองแถวขนาดเล็กที่มียุ่บยั่บเต็มเมืองเชียงใหม่ น่าจะเรียกว่าเป็นเหมือนขาคู่ที่สองของเมืองเชียงใหม่เชียวล่ะ) ตามที่พี่ภูแนะนำ รถแดงก็พาผมปุเลง ๆ มาเรื่อย ๆ จนถึงถนนคนเดิน (ที่ผมไม่รู้ว่าถนนเส้นนั้นเขาเรียกว่าอะไร จนมาภามพี่ภูอีกครั้ง พี่แกก็บอกผมว่าตรงนั้นเขาเรียกว่า "ย่านสี่แยกกลางเวียง" ) รถก็จอดให้ผมลง ผมจึงเริ่มใช้เท้า-พาหนะเดินทางชนิดเดียวที่ผมควบคุมมันได้ดี ทำหน้าที่พาผมเดินทางต่อไป


เมื่อเดินสำรวจถนนคนเดินในเชียงใหม่ ก็พบว่าถนนคนเดินที่นี่ไม่ใช่แค่เพียง " ตลาดนัดบนถนน " เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับถนนคนเดินในกรุงเทพฯ


สิ่งที่สร้างความเป็น " ถนนคนเดิน " ให้กับเชียงใหม่ คงเป็นสินค้าที่วางขายภายในงาน ที่หลัก ๆ จะมีสินค้าพื้นบ้านจำพวกเสื้อผ้าและงานแฮนด์เมดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ตลาดจับฉ่ายเหมือนคราวงานถนนคนเดินที่สีลม ซึ่งเหมือนกับมีอะไรที่ขายได้ ก็ขายมันดะไปหมด


ถ้ากิจกรรมแบบนี้สามารถอธิบายลักษณะของเมืองนั้น ๆ ได้ ขณะที่ถนนคนเดินเชียงใหม่สะท้อนความเป็นเมืองใหญ่ที่ยังคงกลิ่นอายของวัฒนธรรมพื้นถิ่นไว้ได้ แล้วกรุงเทพฯล่ะ...


หรือว่าเราจะเป็นเมืองมั่ว ๆ ซั่ว ๆ แบบถนนคนเดินกันหว่า???


ผมเดินไป แทะลูกกะบกไป (ลูกกะบกเป็นเมล็ดพืชชนิดหนึ่ง เมื่อคั่วและกะเทาะเปลือกแล้วลำแต๊ ๆ เจ้า...) สลับกับการนั่งกินข้าวซอยริมทางไปเรื่อย ๆ ก็พบกับอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ถนนคนเดินของที่นี่น่าสนใจ


ไอ้สิ่งที่ว่าก็คือ บรรดาการแสดงทั้งหลายทั้งปวงบนถนน น่ะแหละครับ


การแสดงเริ่มดึงดูดความสนใจตั้งแต่ต้นถนน ผมพบกับผู้ชายชุดขาวที่เลอะไปด้วยสีต่าง ๆ ทาหน้าขาว สวมแว่นดำ ยืนตัวแข็งทื่อแบบรูปปั้น ข้างๆ ตัวมีกระป๋องสีพร้อมแปรงจำนวนหนึ่งไว้ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ละเลงสีบนตัว พอละเลงปุ๊บ พ่อหนุ่มคนนั้นที่เคยแข็งทื่อก็จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแบบหุ่นยนต์อยู่แป๊บนึงก่อนที่จะกลับมาแข็งทื่อใหม่ เพื่อรอคนกลับมาละเลงสีอีกครั้ง



หรือจะเป็นนักเดาะบอลที่เขาบอกว่าตัวเองเคยสร้างสถิติโลกมาแล้ว และกำลังเดาะบอลเปิดหมวกเพื่อหาเงินมาทำคอร์สสอนฟุตบอลให้เยาวชนผู้ด้อยโอกาส ซึ่งลีลาของเขาก็ทำให้เราเชื่อได้ว่าอย่างน้อย ๆ ฝีมือของเขาก็คงไม่ใช่ราคาคุยแหละ



พูดถึงดนตรี-น่าจะเป็นสิ่งที่มีคนมาโชว์กันมากที่สุดในงานถนนคนเดิน เพราะนอกจากนักดนตรีคนนั้นแล้ว ก็มีทั้งกลุ่มเด็กมัธยม 3 คนที่นั่งเล่นกีตาร์โปร่งและร้องเพลง Pop ทั่วๆ ไป ซึ่งแม้ฝีมือจะยังไม่จัดจ้าน แต่ด้วยการจัดวางตำแหน่งที่นั่งเป็นขั้นบันไดก็ทำให้ดูเพลินตาดี


    


แม้กระทั่งฝรั่งที่นั่งเป่า " บ้อง " (ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าอะไร คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเครื่องเป่าของชาวอะบอริจินละกระมัง แต่เนื่องจากผมไม่รู้ชื่อของมัน ผมเลยขอเรียกมันว่า " บ้อง " แล้วกันครับ...มันเห็นภาพดี) ประกอบ Beat แบบอิเล็กทรอนิกส์ แม้กระทั่งการแสดงดนตรีพื้นบ้าน ก็ยังสามารถเห็นได้อย่างดาษดื่น



แต่ที่ผมจำได้ติดตาตรึงใจที่สุด น่าจะเป็นวง Jazz สามชิ้นที่มีแค่กีตาร์ เบส และแซกโซโฟน แต่ทั้งสามชิ้นก็สามารถดึงดูดสายตาผู้ชมให้เข้ามาใกล้ได้ บางราย (อย่างเช่นผม) ถึงกับปักหลักนั่งดูมันเสียเลย (ผมถ่ายวิดีโอคลิปมาให้ดูกันพอ Chill Chill ด้วย ซึ่งในคลิปนั้นมีรูปของผมแบบชัดๆ ให้ได้เห็นกันด้วยแหละ)



ดูวิดีโอ..คลิ๊ก!


ผมเดินอยู่บนถนนสายนั้นจนถึงเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ ร้านรวงต่างๆ ก็เริ่มจะเก็บของกันบ้างแล้ว ผมก็ควรจะรีบกลับโรงแรมนอนเสียที ผมจึงเดินย้อนกลับมาทางเดิม แล้วก็นั่งรถแดงกลับโรงแรม


เมื่อถึงห้องพัก ผมจึงลองสำรวจดูห้องพัก ก็พบว่าบรรยากาศของห้องสามารถนำไปใช้เป็นฉากในหนังสยองขวัญได้สบาย ๆ (ถ้าผู้อ่านมีอัลบั้มเพลงประกอบหนัง " บุปผาราตรี " ขอให้ท่านรีบนำอัลบั้มนั้นยัดใส่เครื่องเล่นเทป-ซีดีโดยด่วน แล้วเปิดไปเรื่อย ๆ จนอ่านจบ เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน) โดยมีวอลล์เปเปอร์ขาด ๆ เป็นตัวชูโรง


เมื่อผมจะปิดประตู เพื่อจะได้หลับพักผ่อนเสียที...ปรากฏว่า ลู ก บิ ด ป ร ะ ตู ล็ อ ก ไ ม่ ไ ด้ T___T


ยิ่งเมื่อพยายามดึงประตูเต็มที่เพื่อที่จะปิดให้ได้ ผลที่ได้ก็คือ ไม้ประตูตรงที่ติดตั้งลูกบิดนั้นเปื่อยจนทำให้ลูกบิดเกือบจะหลุดออก !


สรุปง่าย ๆ ก็คือตอนนี้ลูกบิดประตูใช้การไม่ได้ครับ


แม้ว่าโซ่ที่เอาไว้คล้องประตูกันคนเปิดจะใช้การได้ แต่การนอนในห้องที่ไม่สามารถปิดประตูได้สนิท ในระหว่างการเดินทางคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ ๆ ผมจึงลงไปติดต่อที่เคาน์เตอร์โรงแรมเพื่อขอให้เขามาช่วยซ่อม ก็ได้คำตอบว่า " ตอนนี้ช่างกลับไปแล้ว สงสัยต้องรอพรุ่งนี้แหละครับ "


ฉิ บ ห า ย แ ล้ ว สิ ค รั บ ท่ า น ผู้ อ่ า น . . .



เมื่อผมกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ก็ได้พบความจริงอันน่ากลัวอีกว่า นั่นก็คือแทนที่ร่องว่างระหว่างบานประตูกับฝาผนังห้องจะถูกฉาบด้วยปูน แต่สิ่งที่ถูกนำมาใช้แทนปูนคือ... กระดาษทิชชูที่ม้วนเป็นเส้น ๆ แล้วยัดเข้าไปในร่องว่างนั้น !


ผมไม่รู้จะทำอย่างไรกับประตูดี นอกจากจะใช้แผ่นโบรชัวร์ที่ได้จากถนนคนเดินพับเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วยัดเข้าไปตรงลูกบิดเพื่อให้ประตูปิดสนิทได้...เพราะยังไงซะ มันก็คงดีกว่าให้ประตูแง้มไว้แหละน่า...


หลังจากนั้นผมก็เข้าไปในห้องน้ำเพื่อนำของเหลวส่วนเกินออกจากร่างกาย ก็พบว่าที่นี่ใช้ชักโครกกับฝักบัว ซึ่งก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร ส่วนประตูห้องน้ำก็ล็อกได้สนิทดี


" เอาวะ อย่างน้อยก็ยังมีห้องน้ำที่ใช้ได้ละน่า " ผมคิดในใจ


แต่หลังจากที่ผมทำธุระเสร็จ และกดชักโครกเพื่อทำความสะอาด ความคิดผมก็เปลี่ยนไป...เพราะ น้ำที่ควรจะไหลลงท่อภายในชักโครก กลับไหลออกมาเนืองนองตรงพื้นห้องน้ำแทน !!


ใจผมคิด " โห...อย่างงี้ไม่ให้ฉันฉี่ลงพื้นเลยละวะ จะมีชักโครกเอาไว้ทำไม "


ผมเดินออกมาด้วยขวัญกำลังใจที่มุดหายจากตาตุ่มไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ขึ้นไปนอนบนเตียง ข่มสายตาให้หลับ พร้อมทั้งคิดว่า " พรุ่งนี้กูจะเอายังไงดีวะ... " ประกอบกับโสตสัมผัสที่ตื่นตัวทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคนเดินผ่านไป-มาตรงทางเดิน...


เหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นอย่างไรต่อไป ผมจะต้องเจออะไรอีกในคืนนั้น แล้วผมจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่...โปรดติดตามตอนต่อไป...