Skip to main content

ผ้าใบฯ ตะลุยเมืองเชียงใหม่ (ตอน2)

คอลัมน์/ชุมชน

 


จันทร์ 28 กุมภาพันธ์ 48


ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงโทรศัพท์มือถือที่ผมตั้งเวลาปลุกเอาไว้…


ผมมองสำรวจรอบตัว ผมก็พบว่าตัวเองยังอยู่ในห้องพักห้องเดิม กระดาษโบรชัวร์ที่ใช้ยัดบานประตูแทนลูกบิดก็ยังคงอยู่ที่เดิม เมื่อเดินเข้าไปในห้องน้ำแล้วกดชักโครก...ใช่แล้วครับ..น้ำก็ยังออกมาเนืองนองพื้นห้องน้ำเหมือนเดิม


ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำยังไงครับ?


แต่สำหรับผม ผมแก้ปัญหาโดยการรีบเก็บสัมภาระที่มีอยู่ลงกระเป๋าให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเร่งออกจากห้องด้วยความเร็วที่ถ้าใครได้เห็นคงคิดว่าผมกำลังหนีตามใครสักคน หรือไม่ก็กำลังหนีการตามล่าจากมือสังหารของฝ่ายตรงข้าม (ว่าแล้วพี่ซัง-ผู้ดูแล "ชุมชนประชาไท" ก็ตรงรี่เข้ามาเบิ๊ดกะโหลกผมเสียหนึ่งผัวะ พร้อมทั้งบอกว่า "เพ้อเจ้ออยู่ได้ นี่ไม่ใช่หนังสายลับนะ เลิกนอกเรื่องได้แล้ว") เพื่อตรงไปยังเคาน์เตอร์ชั้นล่าง


"เช็คเอาท์ครับ" คือคำตอบของผม


หลังจากนั้นผมก็โบกรถแดง ตรงไปยังโรงแรมแห่งใหม่ที่พี่ ๆ ทางประชาไทได้แนะนำ ซึ่งแม้ราคาที่พักจะแพงกว่าที่เดิมเกือบเท่าตัว แต่สภาพห้องพักก็ดีขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกันแหละ แถมข้าง ๆ โรงแรมยังมีร้านอาหารตามสั่งราคาถูกอีก นับว่าเป็นชัยภูมิที่เหมาะกับการค้างอ้างแรมยิ่งนัก


เมื่อได้ที่พักใหม่ รวมถึงอาบน้ำ-ทำธุระส่วนตัวและกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมานั่งคิดกันต่อว่าวันนี้เราจะทำอะไรดี แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดี ผมเลยตัดสินใจว่าจะลองเดินไปเรื่อย ๆ ดูก่อน ถ้าเจออะไรน่าสนใจก็ว่ากันไปตามเรื่อง


สรุปง่าย ๆ ก็คือไปตามยถากรรมนั่นเองครับ


หลังจากนั้นผมก็เดินเลาะตามถนนมาเรื่อย ๆ จนถึงสี่แยกแห่งหนึ่ง (ซึ่งผมจำชื่อไม่ได้ แต่ที่จำได้ก็คือที่แยกตรงนั้นมีโรงพยาบาลประสาทเชียงใหม่อยู่) จากนั้นผมก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เขาร่ำลือกันว่ามักจะมีนิทรรศการดี ๆ แวะเวียนมาจัดกันบ่อย ๆ ผมเลยลองแวะดูที่นั่น เผื่อจะได้เจออะไรดี ๆ


แต่...วันนั้นเป็นวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันหยุดของหอศิลปวัฒนธรรมพอดี


เมื่อพลาดหวังจากหอศิลป์แล้ว ผมก็เดินมาเรื่อย ๆ จนถึงถนนเลียบคลองชลประทาน ในขณะที่เวลาตอนนั้นคือช่วง 10 โมงกว่า ๆ ซึ่งแดดในตอนนั้นก็พร้อมจะทำให้ผิวหนังของผมกรอบเกรียมน่ารับประทานในเวลาไม่นานนัก


ในตอนนั้นเอง ผมก็เจอร้าน ๆ หนึ่ง ที่เป็นหนึ่งในร้านที่ผมหมายมั่นปั้นมือจะมาให้ได้ รวมถึงด้วยอากาศแบบนี้ ผมจึงไม่รีรอจะแวะเข้าไปในนั้น


ร้านนั้นชื่อ "ร้านเล่า" ครับ


"ร้านเล่า" เป็นร้านหนังสือขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่บรรยากาศดูเป็นมิตร รวมทั้งยังเป็นร้านที่ไม่หวงหนังสือ...ไม่ได้หมายความว่าร้านนี้เปิดให้จิ๊กหนังสือได้โดยชอบใจหรอกนะครับ แต่หมายความว่าทางร้านเขาไม่ได้หวงหนังสือ ถ้าคุณจะนั่งอ่านหนังสือภายในร้านโดยไม่ได้ซื้อ ก็ไม่ว่ากัน แถมร้านนี้ยังขยันจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรดาหนอนหนังสือได้สำราญใจอยู่เรื่อย ๆ


ระหว่างที่ผมเลือกหนังสือเพื่อซื้อติดตัว สลับกับการอ่านหนังสือในร้าน (จะหนักไปทางอย่างหลังเสียมากกว่า) ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในร้าน แล้วถามหาหนังสือ "พ่อรวยสอนลูก" หรือหนังสือประเภท "ทำยังไงถึงจะรวย" กับทางร้าน คุณเจ้าของร้านก็ตอบว่า "มีแต่หนังสือประเภท "ทำยังไงถึงจะเป็นคนดี" ค่ะ" พร้อมยิ้มน้อย ๆ อย่างสุภาพ


ชอบคำตอบแบบนี้จังเลยครับ


หลังจากแวะซื้อหนังสือในร้านเล่าแล้ว ผมก็เดินเลียบถนนมาเรื่อย ๆ พร้อมกับคิดว่า "จะทำอะไรต่อดีวะ" พร้อม ๆ กับที่ท้องของผมเริ่มร้องเบา ๆ ขึ้นมา ผมเลยแวะไปในร้านโดนัทขนาดกลาง ๆ ที่อยู่ในเสื้อผ้าของแบรนด์ขนาดใหญ่ เพื่อหาอะไรรองท้องเล็ก ๆ น้อย ๆ และถามว่าจะไปเที่ยวได้ที่ไหนที่ใกล้ ๆ แถวนั้นด้วย


"ผมพอจะหาที่เที่ยวแถว ๆ นี้ได้ที่ไหนครับ" ผมถามพนักงานขาย ซึ่งผมเชื่อว่าคงไม่ค่อยมีใครไปถามพวกเธอถึงเรื่องอื่นนอกจากรายการอาหารแน่ ๆ


แล้วก็เป็นไปดังคาด...คุณเธอดูงง ๆ กับคำถามของผม ก่อนที่จะตอบผมว่า "ลองเดินไปอีกสัก 100-200 เมตร จะเจอสวนสัตว์เชียงใหม่แล้วค่ะ"


หลังจากที่อิ่มกับโดนัทและน้ำ 1 แก้วแล้ว ผมก็เดินไปตามทางที่คุณพนักงานแนะนำ เดินไปจนเกือบ ๆ จะเมื่อยก็ถึงสวนสัตว์เชียงใหม่



ผมคิดถึงเจ้าช่วง ช่วง กับหลิน ฮุ่ยขึ้นมาซะแล้วสิ


เมื่อลองสังเกตดูสวนสัตว์เชียงใหม่อย่างคร่าว ๆ ก็พบว่าด้วยลักษณะของสวนสัตว์ก็ดูคล้าย ๆ กับเขาดินอยู่ไม่น้อย หากแต่เป็นเขาดินที่ตั้งบนเนินเขา ที่บรรยากาศดูร่มรื่นพอตัว


ผมเดินดูสัตว์ในสวนสัตว์ไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยความกว้างของสวนสัตว์ ทำให้ผมหลงทางเข้าจนได้ ผมจึงพยายามเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อหาแผนที่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น เพราะแผนก็ที่มีกระจายอยู่รอบ ๆ สวนสัตว์นี่แหละ


แต่การมีแผนที่ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำให้การเดินทางสะดวกขึ้นเสมอไป ลองดูจากแผนที่แผ่นนี้ดูได้ครับ



ดูแล้วรู้มั้ยครับ ว่าตอนนี้เราอยู่ที่ไหนกันเนี่ย -____-"


ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่งงกับป้ายแผนที่ปริศนา เพราะระหว่างที่ผมงงอยู่ ก็มีนักท่องเที่ยวฝรั่งยืนงงเป็นเพื่อนผมอยู่ด้วยเช่นกัน แต่ก็ยังโชคดีที่มีป้ายบอกทางไปยังจุดสำคัญ ๆ (เช่น จุดชมหมีแพนด้า เป็นต้น) ซึ่งก็พอบรรเทาอาการงงไปได้บ้าง


เมื่อถึงจุดชมหมีแพนด้า เราก็ได้เห็นว่าน้องหมีทั้งสองกลายเป็นพระเอก-นางเอกของสวนสัตว์แห่งนี้ไปแล้ว เพราะนอกจากจะมีจุดชมหมีแล้ว ยังมีจุดขายของที่ระลึก และบริการถ่ายรูปคู่กับหมี โดยมีรูปดารา-นักร้องที่ถ่ายคู่กับหมีเป็นการเรียกน้ำย่อย (ใครก็ได้ ช่วยไปบอกทางสวนสัตว์ทีว่ารูปน้าแอ๊ด คาราบาวกับหมีแพนด้ามันไม่เข้ากันเล้ย…ให้ตายเถอะ :-) )



เมื่อเดินเข้าไปในจุดชมหมีแพนด้าอยู่นานพอตัว (ซึ่งต้องผ่านการย่ำน้ำยาฆ่าเชื้อก่อนหนึ่งด่าน) ก็พบว่าเป็นจุดนี้เป็นจุดที่มีคนเข้ามาเยี่ยมชมกันอยู่เรื่อย ๆ อย่างไม่ขาดสาย แม้วันที่ผมไปจะเป็นวันธรรมดาก็ตามทีเถอะ



ผมเดินดูอยู่นาน (จริง ๆ จุดนี้ก็ไม่ได้กว้างมากมายหรอกครับ แต่ที่ผมเดินอยู่นานก็เพราะว่าแอร์มันเย็นดี…ไหน ๆ ก็เข้ามาแล้ว ก็ใช้โอกาสพักเหนื่อยที่นี่เสียเลย) จนน้องหมีหนีไปเพราะอยู่ดี ๆ เด็กที่เข้าดูหมีดันร้องไห้ขึ้นมาซะอย่างงั้น (ในจุดชมหมีมีข้อห้ามส่งเสียงดัง และห้ามถ่ายรูปโดยใช้แฟลช เพื่อกันน้องหมีตื่นตกใจ) ผมเลยออกจากจุดชมหมี เพื่อเดินดูสัตว์อื่น ๆ ต่อไป



เดินมาได้สักพัก ก็ถึงจุดชมนกเพนกวิน สิ่งที่ผมได้เจอคือสภาพที่แตกต่างกับจุดชมหมี ทั้งสภาพของอาคารที่ดูเก่ากว่า เมื่อเข้าไปข้างในก็พบฝูงนกเพนกวินนั่ง ๆ นอน ๆ วิ่ง ๆ อยู่ในตู้กระจกมัว ๆ ในห้องที่คนดูไม่ค่อยเยอะ ซึ่งเขาก็อธิบายไว้ว่า



ผมกำลังคิดอยู่ว่า ระหว่างถ้าผมเป็นแพนด้ากับเพนกวิน ผมจะมีความสุขกับสภาพไหนมากกว่ากันหนอ…


ผมเดินเล่น สลับกับการนั่งรถบริการนำเที่ยวที่วิ่งรอบสวนสัตว์อยู่จนเย็น ผมจึงกลับไปที่พักเพื่ออาบน้ำ-เปลี่ยนเสื้อผ้า ซักเสื้อผ้าที่หมักตั้งแต่และหาข้าวเย็นกิน เพื่อไปตะลุยราตรี ณ ไนท์บาซาร์กันต่อ


ตัดภาพกลับไปในอีก 3 ชั่วโมงต่อมา…ผมออกมาหน้าโรงแรมที่พัก เพื่อเรียกรถแดงไปยังไนท์บาซาร์



พูดถึงรถแดงของที่นี่ ก็ต้องขอเล่าเรื่องเพิ่มเติมเกี่ยวกับมันเสียหน่อย…แม้ว่ารถแดงของที่นี่จะมีรูปลักษณ์คล้าย ๆ กับรถสองแถวในกรุงเทพฯ แต่มันแตกต่างกันตรงที่ว่ารถแดงในเชียงใหม่นั้นไม่ได้กำหนดเส้นทางประจำ แต่จะเป็นในลักษณะเหมาจ้างไปตามแต่ที่ผู้โดยสารจะเรียกใช้ โดยมีอัตราค่าจ้างตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป (แพงที่สุดที่ผมเคยเจอในการตะลุยเชียงใหม่ครั้งนี้คือ 50 บาท)


เมื่อถึงไนท์บาซาร์ ผมก็ลงเดินสำรวจที่นี่ตามประสาคนไม่เคยมาที่นี่ ในความคิดของผม ไนท์บาซาร์มีความคล้ายกับย่านสีลมยามค่ำคืน เพราะสินค้าที่ขายที่นี่ก็จะเป็นสินค้าจำพวกเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รวมถึงของประดับต่าง ๆ (รวมถึง "เครื่องเทศ" ที่นำมาตกแต่งจนกลายเป็นเครื่องประดับด้วย) แต่ที่ไนท์บาซาร์ไม่ยักกะมีคือซีดีโป๊แอบขายในซุ้มมืด ๆ และคนคอยตะโกนเรียกฝรั่งให้ใช้บริการ "นวด"



แต่ เอ…จะพูดว่าไม่มีบริการนวดเลยก็ไม่ถูกแฮะ เพราะผมก็เจอบริการนวดที่บริเวณตลาดอนุสาร-ตลาดขายอาหารและของที่ระลึกที่อยู่ละแวกไนท์บาซาร์ แถมการนวดที่นี่ยังอุกอาจกว่าที่กรุงเทพฯ…เพราะที่นี่เขาเล่นนวดกันกลางถนนเลยเชียว…



ผมหมายถึงบริการนวดฝ่าเท้าที่ตั้งโต๊ะกันอยู่ริมถนนนั่นแหละครับ ที่มีชาวต่างชาติหลากหลายมาใช้บริการกันอยู่ตลอดเวลา


เดินอยู่ในไนท์บาซาร์จนเกือบห้าทุ่ม ร้านรวงบางที่ก็เริ่มเก็บของกันแล้ว ผมก็อาศัยรถแดงเป็นขาชั่วคราวพาผมกลับที่พัก


แล้ววันนี้ก็จบลง…


(โปรดติดตามตอนต่อไป…)