Skip to main content

พันธนาการ (จดหมาย) รัก

คอลัมน์/ชุมชน

จันทน์กระพ้อ


"บางสิ่งอาจบอกความรู้สึกของหัวใจได้ลึกซึ้งมากมายกว่าคำพูดร้อยพัน"


คำโปรยที่แสนจะโรแมนติกของภาพยนตร์เรื่อง "จดหมายรัก" หรือถ้าจะเรียกให้คุ้นหูก็คงต้องเรียกว่า "The letter" เตะตาผู้เขียนเข้าอย่างจัง จนทำให้ต้องเอื้อมมือไปหยิบมันลงมาจากชั้นวางในร้านวิดีโอเจ้าประจำ และรีบเช่ากลับบ้าน โดยระหว่างทางก็วาดฝันว่า หนังเรื่องนี้คงสร้างความละมุนละไมภายใต้แสงเทียนให้กับผู้เขียน (ที่อยู่ตัวคนเดียว) ได้ไม่มากก็น้อย


"The letter" ขับเคลื่อนเรื่องราวผ่าน "ต้น" ตัวละครเอกฝ่ายชาย และ "ดิว" ตัวละครเอกฝ่ายหญิง "ต้น" พระเอกของเรื่องใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ ส่วน "ดิว" เป็นสาวเมืองกรุง ทั้งสองพบกันครั้งแรกที่เชียงใหม่ และติดต่อกันเรื่อยมา เมื่อความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างแนบแน่นโดยไม่มีจุดสะดุด ทั้งคู่จึงตกลงใจใช้ชีวิตร่วมกัน จากนั้นไม่นานต้นก็จากดิวไปอย่างไม่มีวันกลับ แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อวันหนึ่งดิวได้รับจดหมายจากต้นผู้ซึ่งจากเธอไปแล้ว โดยเนื้อความในจดหมายแสดงความห่วงใยพร้อมทั้งกำชับให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้ว่าจะไม่มีเขาเคียงข้างก็ตาม


ภาพยนตร์เรื่องนี้มีดีอยู่ที่การสร้างความละมุนละไมและความสะเทือนใจสลับกันไปมาได้อย่างลื่นไหลและลงตัว สำหรับผู้เขียนมีหลายฉากทีเดียวที่ยิ้มไปกับความโรแมนติกของตัวละคร ทั้ง ๆ ที่บางส่วนเสี้ยวของหัวใจก็รู้สึกเสียวแปลบไปกับโชคชะตาที่ทั้งสองต้องประสบ


อย่างไรก็ตาม เมื่อแผ่นวีซีดีทำหน้าที่ของมันเสร็จสิ้น ผู้เขียนกลับรู้สึกไม่เห็นด้วยกับการที่ต้น (ผู้เสียชีวิตไปแล้ว)ยังคงติดต่อกับดิวผ่านทางจดหมาย ทั้ง ๆ ที่การติดต่อในรูปแบบนี้นี่เองที่เป็นที่มาของความโรแมนติกอันน่าจะเป็นความรู้สึกหลัก ๆ ที่ผู้จัดทำต้องการสื่อสารไปยังผู้ชม


ความห่วงใยที่ต้นมีต่อคนที่เขารักเป็นสิ่งที่ดีและแสนจะน่าประทับใจ หากมันไม่ได้สอดแทรกความร้าวรวดไว้ในคราวเดียวกัน


ในความคิดของผู้เขียน การส่งจดหมายของต้นเป็นเสมือน "บ่วง" ที่คอยเหนี่ยวรั้งความรักที่ดิวมีต่อเขาให้คงอยู่ต่อไป แม้ว่าเขาจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ยุติธรรมกับดิวสักเท่าไร เพราะลำพังความเสียใจที่เธอต้องแบกรับจากการสูญเสียคนรักก็มากพออยู่แล้ว ยังจะมีความจำเป็นเพียงใดที่เธอจะต้องจมจ่อมอยู่กับตัวตนของเขา (ผ่านทางจดหมาย) ที่ไม่ว่าจะอย่างไรฉบับสุดท้ายก็ต้องมาถึงไม่วันใดก็วันหนึ่ง


เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่น่าเจ็บปวดที่สุดสำหรับดิวน่าจะอยู่ตรงที่ตัวตนของคนที่เธอรักเป็นเพียงตัวตนที่ว่างเปล่า จับต้องไม่ได้ และไม่มีสสารหลงเหลืออยู่แล้วในความเป็นจริง


ต้นอาจจะมองไม่เห็นว่า ท่ามกลางการทำหน้าที่คนรักอย่างสมบูรณ์แบบของเขา ทำให้ดิวต้องถามตัวเองถึงการทำหน้าที่ของเธอเช่นกัน


นอกจากดิวจะมีหน้าที่ทนอยู่ดูโลกใบนี้ต่อไปอย่างปกติสุขที่สุดดังที่ต้นปรารถนาแล้ว ในฐานะของคนรักดูเหมือนเธอจะมีหน้าที่อีกอย่าง นั่นคือหน้าที่ในการเป็นฝ่ายรับฟังเพียงอย่างเดียวโดยไม่รู้จะตอบรับความรู้สึกของเขา ตลอดจนไม่รู้จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาได้อย่างไร


จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันหนึ่งดิวอ่านจดหมายของต้นจบ แล้วเกิดอยากจะบอกเขาว่า เธอรักและเป็นห่วงเขามากอย่างที่เขาเป็นห่วงเธอเช่นกัน เธอจะบอกมันกับใคร? เธอจะต้องจ่าหน้าซองจดหมายไปที่ไหนต้นถึงจะได้รับความห่วงใยที่เธอมีให้เสมอมา


จะเป็นการดีกว่าไหม หากต้นจะปล่อยให้ดิวได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเพียงครั้งเดียว และปล่อยให้กาลเวลาค่อย ๆ ชะล้างความเจ็บปวดนั้นให้เบาบาง จนถึงวันที่ดิวเข้มแข็งและพร้อมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปด้วยหัวใจของเธอจริง ๆ แทนที่จะเป็นการสูบฉีดความสุขให้เข้ามาแทนความทุกข์เพียงชั่วครู่ชั่วคราว ซึ่งเมื่อความสุขเริ่มเจือจาง กลิ่นอายแห่งความทุกข์ก็จะเข้าครอบงำอีกครั้งเป็นเช่นนี้เรื่อยไป แล้วอย่างนี้เมื่อไรหัวใจของเธอจะแข็งแรง


ผู้เขียนอาจจะเป็นคนแข็งกระด้างเกินไป แต่ถ้าเลือกได้ ขอหลับใหลแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างสดใส แทนการเป็นลูกบอลลูนลอยฟ้าที่จะโป่งพองเมื่อได้รับการสูบลม และจะฟีบลงทันตาเมื่อถูกปล่อยลมออก


ซึ่งเราคงรู้กันดีว่า บอลลูนที่ไม่ได้รับการสูบลมนั้นไร้ทิศทาง และขาดชีวิตชีวาเพียงใด