Skip to main content

Tribute To Amarin…

คอลัมน์/ชุมชน

ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่ "บ้านบรรทัดห้าเส้น" ในตอนนี้ ผมต้องขออภัยท่านผู้อ่าน ที่ผมจะต้องติดบทความ "พุทธป๊อบ" ในตอนจบไว้ก่อน และผมขอสัญญาว่าในครั้งต่อไปจะมาใช้หนี้ให้เรียบร้อย ทั้งที่จริง ๆ แล้วผมตั้งใจจะลงในครั้งนี้ แต่มีเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจเก็บเรื่อง "พุทธป๊อบ" เอาไว้ก่อน


ไอ้เจ้าเหตุที่ว่าเนี่ย...มันเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง...ในขณะที่ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ พร้อมกับเปิดวิทยุไปด้วย อยู่ดี ๆ เสียงเพลง ๆ หนึ่งก็ดังมาจากลำโพง


"หากเคียงชิดใกล้ แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน
ประโยชน์ที่ใด หากรักทำร้ายตัวเอง
หากเดินแนบกาย มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน
ห่างเพียงนิดเดียว ให้รักเป็นสายลมผ่านระหว่างเรา


แบ่งที่ว่างตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เธอได้ตามหาฝัน...ของเธอ"


เพลง "ที่ว่าง" ทำให้ผมเกิดความรู้สึกคิดถึงเจ้าของเสียงร้องเพลงนี้ขึ้นมา แล้วก็ทำให้ผมคิดถึงครั้งแรกที่รู้จักกับเสียงร้องเสียงนี้...เสียงของ โจ้-อัมรินทร์ เหลืองบริบูรณ์


@#@#@#@#@


ผมได้ยินเสียงโจ้ครั้งแรกในปี 2539 ในสมัยที่คำว่า "เด็กอัลเตอร์" ทำหน้าที่เหมือนคำว่า "เด็กแนว" และรายการวิทยุ "Pirate Radio" ทำหน้าที่เหมือน ๆ กับ Fat Radio ในสมัยนี้ (เปิดเพลงจากศิลปินค่ายเล็กค่ายน้อยในอัตราที่สูง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ศิลปินหน้าใหม่ได้มีโอกาสนำเพลงของตัวเองมาเปิดในรายการ)



โจ้และเพื่อน ๆ ร่วมวง Pause ก็เป็นหนึ่งในบรรดาศิลปินหน้าใหม่ที่ได้มีโอกาสเสนอผลงานในรายการวิทยุแห่งนั้น (วงนี้เป็นการรวมตัวของนักดนตรีที่เคยลงในคอลัมน์ College Artists ของนิตยสาร "บันเทิงคดี" ในสมัยโน้น) จนมีโอกาสได้ทำอัลบั้ม "Push Me Again" กับเบเกอรี่มิวสิค


และเพลง "ที่ว่าง" ก็เป็นเพลงที่ติดตัวพวกเขาตั้งแต่ตอนนั้น และสร้างความโด่งดังกับพวกเขาอย่างมาก...มากจนกลบความเป็นวงร็อกที่ร่างเงาของวงอย่าง Red Hot Chili Pepper ทาบอยู่บาง ๆ และเนื้อหาบางมุมที่สะท้อนความคิดแบบเด็กหนุ่มต่อผู้ใหญ่อย่าง


"ตอนยังเล็ก ตัวยังเล็ก ใคร ๆ ก็คิด ใคร ๆ ก็เห็นว่า ไอ้ตัวฉันที่เล็ก ๆ นั้นมันเป็นแค่เด็ก
บอกให้ไปเรียนหนังสือ บอกให้ไปท่องหนังสือ บอกว่าเราไม่มีสิทธิ์หือ เพราะเรามันเป็นแค่เด็ก
วันเสาร์-อาทิตย์ก็นั่งท่อง ไอ้พวกผู้ใหญ่ก็นั่งจ้อง
ขยับเป็นต้องโดนบ้อง ให้กลับไปท่องหนังสืออีก"
(จากเพลง "เมื่อไหร่")


แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครมองข้าม นั่นคือเสียงร้องสูงหวานของโจ้ ที่แม้จะถูกกลืนเมื่อต้องต่อกรกับเพลงร็อกของ Pause ในชุดนั้น แต่กับเพลงช้าที่ดนตรีไม่หนักมาก เสียงของเขากลายเป็นเครื่องดนตรีที่ดีที่สุดในเพลง อย่างเพลง "มีเพียงเรา" ที่อยู่ในอัลบั้มฉบับเปลี่ยนปก-เพิ่มเพลงที่ออกในเวลาต่อมา


"มี...มีเพียงสองเรา ท่ามกลางแสงของดวงดาว
สายลมเหน็บหนาว ขอบฟ้ายังอยู่ห่างไกล
มี...มีเพียงสองเรา และแสงดาวที่คอยนำทา'
แม้ดาวหมดฟ้า ยังมีรักของเรานำทาง"


และอัลบั้มนี้ยังสร้างความทรงจำให้กับผม เพราะตอนนั้นผมก็ชอบเพลง "ที่ว่าง" เหมือนกับที่หลาย ๆ คนชอบน่ะแหละ...ผมชอบถึงขนาดที่ว่าเคยเอาเพลงนี้ไปร้องในการประกวดร้องเพลงของมหาวิทยาลัยในอีกสามปีต่อมา


สำหรับผลการแข่งเหรอครับ...เอ่อ...อย่าพูดถึงมันเลยครับ อาย...


สองปีต่อมา Pause มีอัลบั้มชุดที่สอง - Evo & Nova ที่ความเกรี้ยวกราดของดนตรีลดลง แล้วทดแทนด้วยความปราณีต ซึ่งก็เป็นโอกาสดีที่เสียงของโจ้จะได้แสดงอย่างเต็มที่ อีกทั้งเนื้อหาของเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปตามดนตรี ทำให้เราได้ฟังเพลงรักดี ๆ อย่าง...


"และรักก็คงเช่นกัน หากฝันถึงวันได้เคียงคู่
ต้นรักที่มีอยู่ ปลูกไว้ในใจเรา
ให้เธอเป็นน้ำใสเย็น และฉันจะเป็นแสงแดด
ต้นไม้ของเราจะงอกงามและเติบโต"
(จากเพลง "ที่เธอเฝ้ารอ")


แต่เพลงที่ถูกจดจำมากที่สุด กลับเป็นเพลงที่แต่งขึ้นโดยบอย โกสิยพงษ์ ที่มีแรงบันดาลใจจากการสูญเสียน้องชายของโจ้


และคงเป็นเพลงที่ในเวลานี้ แฟน ๆ ของโจ้คงคิดถึงเพลงนี้เช่นกัน


"รัก...รักเธอทั้งหมดของหัวใจ
สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน เธอได้ยินไหมคนดี
อยากขอ...ให้ความรู้สึกที่ฉันมี ส่งไปถึงเธอที่แสนดี...ว่าชีวิตนี้ฉันมีเธอเป็นความฝัน
จะพบกันอีกได้ไหม..."
(จากเพลง "รักเธอทั้งหมดของหัวใจ")


แม้อัลบั้มนี้จะมีเพลงที่อยู่ในระดับ "ดี" อยู่หลายเพลง แต่ไม่ได้เป็นเพลงที่จับหูในคราวแรกที่ได้ยิน และภาพลักษณ์ของวงที่ถูกนำเสนอล้ำหน้าเกินไปจนกลายเป็นความแปลกประหลาดและฝืดฝืน (สังเกตได้จากปกอัลบั้มที่พวกเขาถูกจับแต่งตัวจนคล้ายจะเป็นมนุษย์ต่างดาวมากกว่านักดนตรี) ทำให้อัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก


หลังจากนั้น ในปี 2541 ในเวลาที่คนเบื่อหน่ายกับดนตรีสากกระด้าง อันเป็นผลต่อจากการล่มสลายของดนตรีอัลเทอร์เนทีฟในยุคนั้น Pause ถอด look แปลกประหลาดออกไป รวมทั้งดนตรีที่เน้น ภาคอคูสติก (อัลบั้มนี้ดูแลการผลิตโดยธีร์ ไชยเดช ที่ถนัดในทางดนตรีแบบนี้อยู่แล้ว)


แต่ผมต้องสารภาพว่า ในตอนที่อัลบั้มนี้ออกใหม่ ๆ มันเป็นอัลบั้มที่ผมชอบน้อยที่สุด ด้วยความรู้สึกยึดกับภาพพจน์การเป็นวงเน้นเครื่องดนตรีไฟฟ้าในสองอัลบั้มแรก จนเมื่อเวลาผ่านไป และผมกลับมาฟังอัลบั้มนี้อีกครั้ง ผมถึงได้พบว่าเพลงในอัลบั้มนี้คงเป็นเพลงที่เหมาะกับเสียงของโจ้ที่สุด


และเพลง ๆ หนึ่งก็มีความหมายมากขึ้นหลังจากนั้น


"ในวันที่ฉันไม่มีใคร
เปิดอ่านข้อความเก่า ๆ ที่มีความหมายจากวันนั้น
คือความห่วงใยที่เธอให้ฉัน
ข้อความเหล่านั้น ที่เธอคอยส่งมา"
(จากเพลง "ข้อความ")


หลังจากอัลบั้มนั้น Pause ก็หยุดพักตัวเองเหมือนดังชื่อวง และก็เป็นโอกาสของโจ้ในการออกอัลบั้มเดี่ยวของตัวเอง เราจึงได้ฟังอัลบั้ม Simply Me ที่นำเอาเพลงเก่า ๆ ที่เป็นเหมือนการนำ Collection เพลงของเขาให้แฟน ๆ ได้เห็น โดยมีธีร์ ไชยเดช ที่มารับหน้าที่ดูแลการผลิตเช่นเดิม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สีของดนตรีจะเป็นอคูสติกเช่นเดิม


หลาย ๆ คนอาจชอบ "ใจบางบาง" ในอัลบั้มนี้ แต่สำหรับผม...ผมกลับเทใจให้เพลง "พี่รักเจ้า" ที่เป็นผลงานเก่าของสุนทราภรณ์ ด้วยเหตุผลง่าย ๆ...ผมมักใจอ่อนกับเพลงหวาน ๆ ครับ


"พี่รักเจ้ายิ่งกว่าคำรักนี้
ยุพารักพี่ครึ่งนี้ได้หรือไม่
จงปลงน้ำคำ น้อมนำดวงฤทัย
พี่เพียงให้น้องนางรักใคร่ได้...แม้ครึ่งพี่เอย"


จริง ๆ แล้วอัลบั้มนี้ควรจะเป็นอัลบั้มเริ่มต้นสำหรับการเป็นศิลปินเดี่ยวของโจ้ หรือไม่ก็เป็นอัลบั้ม "หยุดพักร้อน" ก่อนเริ่มต้นงานในนาม Pause อีกครั้ง...


แต่หลังจากวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2545...Simply Me กลายเป็นอัลบั้มสุดท้าย และกลายเป็นการพักผ่อนชั่วนิรันดร์ของโจ้


และวงการดนตรีไทยก็สูญเสียเสียงร้องที่ดีที่สุดเสียงหนึ่งไปแล้ว...


@#@#@#@#@


"เก็บรัก...ปกคลุมหัวใจ
ในทางที่ต่างไป ภายใต้ดวงอาทิตย์เดิม ต่อเติมค่ำคืนด้วยแสงจันทร์
เบื้องบน...ยังเป็นผืนฟ้าเดียวกัน
และเธอไม่ได้โดดเดี่ยว บนโลกไม่ได้ว่างเปล่า
ยังมีคนมากมายต่างไป...พร้อมกับเรา"


เสียงเพลง "โลกที่เป็นหนึ่ง" จากอัลบั้ม Evo & Nova ดังขึ้นจากลำโพงตัวเดิม และผมก็หันมามองที่นาฬิกาติดผนังที่บ้าน ก็พบว่าวันนี้คือวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ซึ่งก็นับได้ 3 ปีแล้วที่โจ้จากไป


แต่เขาก็คงยังไม่หายไปไหน เขายังอยู่ในเพลงที่เราฟังอยู่ ซึ่งคงเป็นสิ่งดีสิ่งหนึ่งของผู้ที่สร้าง "งาน" อะไรบางอย่างบนโลก เพราะอย่างน้อย ๆ ก็มีสิ่งที่เป็นตัวแทนอยู่บ้าง


จนบางครั้งอดคิดไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้วเขาอาจจะยังอยู่ตรงนี้ เหมือนกับว่าที่ ๆ เราและเขาอยู่ คือโลกใบเดียวกัน...