Skip to main content

ความรัก...ฉบับไม่ถูกลิขสิทธิ์

คอลัมน์/ชุมชน

เด็กใหม่ในเมือง


ผมนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ พร้อมๆ กับคิดถึงสมัยยังนุ่งกางเกงขาสั้นสีกากีอยู่ที่โรงเรียนมัธยมชายล้วนที่เขาลือกันว่านักเรียนหน้าตาดีแถวๆ ย่านคลองผดุงกรุงเกษม ("เขา" ที่ว่านี่ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ...ตัวผมเอง)


ตอนนั้นผมจำได้ว่า ชีวิตนักเรียนโรงเรียนชายล้วน แม้จะบอกได้ว่าเป็นชีวิตที่มีสีสันและสนุกสนานพอดู แต่ถึงกระนั้น ชีวิตช่วงนั้นก็ดูแห้งแล้งเสียเต็มประดา...


ไอ้ที่ว่าแห้งแล้งก็เพราะว่า ทั้งๆ ที่เป็นวัยที่เราน่าจะได้เรียนรู้การพบปะพูดคุยกับเพศตรงข้ามบ้าง แต่โรงเรียนที่เราอยู่ดั๊น...เป็นโรงเรียนชายล้วนซะอย่างงั้น


เขียนถึงตรงนี้ก็ขออธิบายให้ผู้อ่านสุภาพสตรีที่เคยรู้จักกับหนุ่มๆ ที่เคยผ่านชีวิตโรงเรียนชายล้วนมาแล้วว่า ถ้าพวกมันทำตัวปากเสีย หรือซื่อบื้อกับความรู้สึกของเพศตรงข้ามนั้น...ขอให้เข้าใจเถอะครับ เพราะพวกเขาหลายๆ คนขาดทักษะในการพูดคุยกับสุภาพสตรีจริงๆ...อย่างน้อยก็ผมคนหนึ่งแหละ


กลับมาเข้าเรื่องกันต่อครับ...ไอ้จะให้เราไปฝึกทักษะการเข้าหาสุภาพสตรีกับอาจารย์ก็ดูขัดเขินผสมกับความหวาดกลัวไม้เรียว หรือจะให้ไปเกาะรั้วโรงเรียนสตรีใกล้ๆ แบบที่เพื่อนๆ เขาทำกัน ไอ้กระผมก็ไม่กล้าอะไรขนาดนั้น


แต่ก็ยังโชคดี ที่ในช่วงภาคเรียนที่หนึ่งของทุกปีการศึกษา โรงเรียนของผมจะมี "สีสัน" ที่ทำให้เด็กหนุ่มแบบพวกผม (ในตอนนั้น) มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง


"สีสัน" ที่ว่าก็คืออาจารย์นิสิต/นักศึกษาฝึกสอนนั่นเองครับ


ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านที่เคยผ่านชั้นมัธยม ก็คงเคยรู้สึกว่าชอบเรียนกับอาจารย์ฝึกสอนมากกว่าอาจารย์ปกติ เพราะเราจะรู้สึกว่าอาจารย์ฝึกสอนไม่ดุเท่าอาจารย์ปรกติ อีกทั้งอายุยังใกล้เคียงกับเราเสียอีก เลยทำให้ในตอนเย็นของทุกวัน ห้องพักครูที่มีอาจารย์ฝึกสอนอยู่จะเต็มไปด้วยฝูงลิงที่ไปหาเรื่องตีซี้กับอาจารย์ ไม่ว่าจะเพื่อเกรดดีๆ เพื่อขอเลื่อนส่งงาน เพื่อความสุขตามประสา Puppy Love และเพื่ออะไรต่อมิอะไรก็ตามทีเถอะ (แหะๆๆ สำหรับผมเป็นเพราะเหตุผลที่ 2 กับ 3 รวมกันฮะ :-))


แต่ "สีสัน" ที่ว่าก็อยู่กับเราไม่นาน เพราะเมื่อจบเทอม ก็ถึงเวลาที่อาจารย์ฝึกสอนต้องกลับไปเรียนต่อให้จบ ช่วงเวลานี้หน้าห้องพักครูที่คนเคยเยอะ ก็ยิ่งเยอะกว่าเดิมด้วยจำนวนฝูงลิงที่ทั้งไปส่งงานที่ค้างๆ ให้เสร็จ รวมถึงหลายๆคนที่เตรียมของขวัญต่างๆ มาให้อาจารย์ที่ตัวเองสนิท (หรืออาจารย์ที่ตัวเองชอบกันแน่หว่า)


ผมเองก็หาของให้อาจารย์ที่ผมชอบ (หรืออาจารย์ที่ผมสนิท) เหมือนกันแหละ แต่ก็นั่งคิดอยู่ตั้งนานว่าจะหาอะไรให้อาจารย์ดีเพื่อบอกความรู้สึกของเรา ไอ้เราเองก็พูดไม่ค่อยเก่ง (จริงๆ เกือบจะพิมพ์ต่อว่า "แต่รักหมดใจ" แต่...มันน้ำเน่าไปหน่อยแฮะ) จนสุดท้ายเลยตัดสินใจแวะซื้อเทปเปล่าจากร้านเทปเจ้าประจำแถวๆ บ้าน แล้วก็ไปนั่งเลือกเพลง(ที่ผมรู้สึกว่าเป็นเพลง)เพราะๆ เพื่ออัดให้อาจารย์


พูดแล้วก็นึกถึงภาพตัวเองกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางกล่องเทป เพื่อเลือกเพลงมาอัดลงเทปเปล่า จำได้ว่าผมใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงเชียว เพื่อจะอัดเทปม้วนเล็กๆ ให้เรียบร้อย เพราะต้องทั้งเลือกเพลงกรอเพลง อัดลงเทป ทั้งยังต้องมานั่งคิดอีกว่าหลังจากเพลงนี้แล้ว จะใช้เพลงอะไรต่อกันดี มันถึงจะได้อารมณ์ และก็ใช้เวลาอีกมาก (มากกว่าตอนอัดเทปซะอีก) เพื่อรวบรวมความกล้าเพื่อเอาเทปม้วนนั้นไปให้อาจารย์ฝึกสอนวิชาศิลปะ


และก็จำได้ว่ารู้สึกดีใจแค่ไหน ที่อาจารย์บอกว่าชอบเพลงที่เราอัดให้ ^____^


...ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ก็เพราะว่าผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านอาจจะเคยใช้เพลงเป็นเครื่องมือในการบอกเล่าความรู้สึกให้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะใช้แทนข้อความบอกรัก ขอโทษ หรืออาจใช้มันแสดงความห่วงใย และก็เชื่ออีกเช่นกันว่าอัลบั้มเพลงที่ใช้บอกความรู้สึกได้ดีที่สุด ก็คงไม่พ้นเป็นเพลงที่เราเลือกเองกับมือ


พูดแล้วก็คิดถึงถ้อยคำที่บรรดาศิลปินออกมารณรงค์ว่าการไรท์ซีดีแจกกันนั้นมันเป็นการทำลายศิลปินทางอ้อม ผมก็มีคำตอบกับคำถามนี้ไว้แล้ว ว่าถ้าเราตั้งใจคัดลองซีดีทั้งแผ่น เพื่อตั้งใจไปแจก(หรือขาย)ให้เพื่อนอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้นคงเป็นความผิดอันไม่ควรอภัยแน่ๆ


แต่หากซีดีแผ่นนั้น เป็นแผ่นที่เราตั้งใจเลือกเพลงให้ใครสักคนที่เราอยากบอกความรู้สึกกับเขานั้น...ถึงจะผิดยังไง ก็น่าจะให้อภัยเพื่อเห็นแก่ใจดวงน้อยๆ ของเราบ้าง (ตรงนี้น้ำเน่าไปหน่อย ขออภัยครับ ;-))


อย่าบอกนะ...ว่าบรรดาศิลปินเพลงเหล่านั้นไม่เคยอัดเทปให้ "คนพิเศษ" ของตัวเอง... :-)