Skip to main content

ศรัทธา…

คอลัมน์/ชุมชน

เด็กใหม่ ในเมือง


เพื่อนของผมเพิ่งถูกไล่ออกจากงาน


ไอ้เพื่อนคนนี้ของผม มันเป็นเพื่อนที่อาศัยอยู่ข้างบ้านผมมาตั้งแต่เกิด เรียนก็เรียนที่เดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ (จนบางคนคิดว่าผมกับมันเป็นคู่เกย์กันซะอย่างงั้น T___T ) จนปัจจุบัน แม้ว่าจะทำงานกันคนละที่ แต่ก็ยังได้พูดคุยกันอยู่เสมอๆ


และเมื่อสักครู่นี้ มันก็มาปรับทุกข์กับผม สลับกับการให้การสนับสนุน สสส. อย่างลับๆในร้านเหล้าละแวกสะพานหัวช้าง


(ต้องเรียนให้ผู้อ่านทราบว่า ข้อความต่อไปนี้อาจไม่สุภาพนัก ดังนั้นถ้าท่านผู้อ่านรับกับคำประเภท " เอี้ย" , " สาด..." หรืออะไรประมาณนี้ไม่ได้ ก็ขอความกรุณาให้ท่านไปแวะเวียนชุมชนอื่นๆ ภายใน " ชุมชนประชาไท" เสียก่อนจะดีกว่า)


" เอาน่า ไอ้ห่าน ยังไงมันก็ผ่านไปแล้วน่า มึงรีบๆ ทำใจแล้วก็หางานใหม่เถอะว่ะ" ผมพูดกับมัน พลางเทของเหลวตรา " หนึ่งร้อยพลปี่" ผสมกับโค้กให้ได้ที่ ก่อนจะกระดกเข้าปากอย่างเด็กเพิ่งหัดกินเหล้า


" ไอ้สาด...มึงไม่เป็นอย่างกรู มึงไม่เข้าใจกรูหรอก" มันสาดเหล้าเข้าไปล้างลำคอของมันเอง พลางพูดต่อ " มึงจะเข้าใจอะไรกรู...มึงลองเป็นพวกที่ตอนเรียนก็ไม่ค่อยมีใครคบ เรียนมหา’ ลัยก็จบช้ากว่าชาวบ้าน แถมจบด้วยเกรดไม่ได้เรื่อง หาแฟนไม่ได้ พอจะไปชอบใคร แมร่ง...เธอก็ดันมีแฟนแล้วอีก แถมแฟนของเธอดันเป็นเพื่อนเราซะอีก พอเรียนจบ กว่าจะหางานได้ ก็แมร่งล่อไปเกือบครึ่งปี แถมยังจบจากการทำงานด้วยเรื่องแบบนี้อีก"


" เวลามึงยืนบนที่ๆ โคลงเคลงและไม่มั่นคง มึงคงรู้สึกไม่มั่นใจว่ามึงจะยืนบนนั้นได้หรือไม่ แต่สิ่งที่กูเป็นอยู่ตอนนี้ คือตัวกูไม่มั่นใจแม้กระทั่งขาของตัวเอง ว่ามันจะยังใช้ได้หรือเปล่า" มันพูดทั้งน้ำตา


บอกตรงๆ ผมไม่รู้ว่าจะปลอบมันยังไงดี...


หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในขณะที่ผมเปิดโทรทัศน์ ผมเห็นวง " หิน เหล็ก ไฟ" ให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ ด้วยความที่ผมยังจำพลังที่ถูกส่งมาจากพวกเขาในคอนเสิร์ต Trilogy Rock Concert ได้อยู่ แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาได้เกือบๆ จะสองเดือนแล้วก็ตามทีเถอะ ทำให้ผมนั่งดูพวกเขาสัมภาษณ์ต่อไป


ในตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ พวกเขาพูดถึงเนื้อหาของเพลง " ศรัทธา" ที่เป็นเพลงโปรโมทเพลงแรกของอัลบั้ม Never Say Die – อัลบั้มชุดล่าสุดของพวกเขา (ซึ่งผมได้เขียนถึงในส่วนของ SMP ในครั้งที่แล้วไปแล้ว) ผมได้ยินพวกเขาพูดว่า " คนเรานะ ถึงใครๆ จะหมดศรัทธาในตัวเราก็ช่างมัน แต่ถ้าเราหมดศรัทธาในตัวเองเมื่อไหร่...ก็เสร็จ"


ผมคิดถึงเพื่อนของผมขึ้นมาทันที


ผมหยิบเพลงนี้ขึ้นมาฟังอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเหมือนกับทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงนี้ นั่นคือความรู้สึกคิดว่ามันเหมือนเป็นภาคต่อของเพลง " อย่าหยุดยั้ง" เพราะสารของ " อย่าหยุดยั้ง" เป็นการปลุกปลอบคนให้ลุกขึ้นจากความโศกเศร้า แต่ " ศรัทธา" เป็นการตั้งคำถามต่อการเริ่มต้นสู้ใหม่อีกครั้ง ที่การต่อสู้นั้นไม่ได้จบลงด้วยชัยชนะแบบในการ์ตูนเสมอไป



" เส้นชัย ไม่มาต้องไปหามัน


รางวัล มีไว้ให้คนตั้งใจ


ขวากหนาม ทิ่มแทงก่อนผ่านพ้นไป


โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย "



และเขายังบอกเราว่า เราไม่รู้หรอกว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องใช้ชีวิต เพื่อกำหนดว่าวันพรุ่งนี้ ชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร



" ที่มา รู้ดีไม่รู้ที่ไป


คนเรา มันเลือกเกิดเองไม่ได้


แต่เรา เลือกได้จะเป็นเช่นไร


เลือกได้จะทำตามใจด้วยตัวของเรา



หลายคนเชื่อในเรื่องโชคชะตา


บางคนเชื่อมั่นในตัวเอง


ชีวิต...เรากำหนดของเราเอง


จะแพ้ชนะไม่เกรง จะสักเท่าไหร่... "



ผมยอมรับ ว่าเพื่อนของผมมันก็ล้มเหลวในการทำงานจริงๆ นะแหละ แต่อย่างไรซะ การล้มเหลวก็เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของการใช้ชีวิต มันไม่ได้บอกเสียหน่อย ว่าชีวิตคุณจะจบตรงนั้นนิ


(ย่อหน้าต่อไปนี้ ผมขอพูดกับเพื่อนของผมคนนั้น ซึ่งก็คงไม่สุภาพเหมือนกับบทสนทนาข้างต้นนะแหละ)


มึงแพ้ มึงล้มเหลวจริง แต่มึงต้องไม่ล้มเลิกนะ ไอ้สาด... (กรุณาอ่านออกเสียงแบบบรรดาเพื่อนพระเอกในหนัง " สายล่อฟ้า"" ครับ)







SMP. (Short Message Preview)


ส่วนนี้จะทำหน้าที่แนะนำงานเพลงที่ผู้ดูแลชุมชนคิดว่าน่าสนใจ โดยทุกอาทิตย์จะมีงานที่น่าสนใจ ๑-๒ ชิ้น (อาจมากกว่านั้น ตามสภาพกระเป๋าสตางค์ของผู้ดูแลชุมชนเป็นหลัก) มาแนะนำกับท่านผู้อ่านอย่างสั้นๆ


แต่ก่อนอื่น ผู้ดูแลชุมชนขออนุญาตเรียนให้ทราบว่า คอลัมน์นี้ (รวมทั้งข้อความทั้งหมดในชุมชนนี้) มิใช่ศาลสถิตย์ยุติธรรม ดังนั้นข้อความเหล่านี้จึงอาจเจือปนด้วยอคติ และความชอบส่วนตัวของผู้เขียน


ขณะเดียวกัน งานเขียนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ประกาศิต ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อข้อความเหล่านี้ รวมทั้งหากไม่เห็นด้วยกับข้อความในชุมชนนี้ ก็สามารถโต้แย้งกับผู้เขียนได้ ไม่ว่าจะโดยผ่านช่องแสดงความคิดเห็น หรือทางอีเมล์ panuwat@prachathai.com หรือหากต้องการเข้าร่วมวงเขียนข้อเขียนต่างๆ ภายในชุมชนนี้ ก็สามารถส่งมาได้ยังช่องทางเดียวกัน


ขอให้สนุกกับการฟังเพลงครับ :-)


@#@#@#@#@


 


EP.: High on dreams


ศิลปิน: ญารินดา บุนนาค



ถ้ายังจำกันได้ เธอเคยอยู่ในมาดสาวผมสีแดงสด และอัลบั้มเพลงป๊อบร็อกเจือกลิ่นเครื่องดนตรีสังเคราะห์ ภายใต้ชายคาค่ายเพลงขนาดใหญ่แถวๆ อโศกมาแล้วเมื่อสักสาม-สี่ปีก่อน


แต่ในงานชุดนี้ สีผมของเธอกลับมาเป็นสีธรรมชาติ กับงานเพลงที่เธอแต่งเองทุกเพลงในอัลบั้ม (เธอแต่งเองเพียวๆ สามเพลง อีกเพลง (Move On ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษ) เป็นการแต่งร่วมกับ Jason Iplixian) และเพลงป๊อบที่มีเครื่องอะคูสติกเป็นตัวชูโรง


งานชิ้นนี้เป็นเหมือนผู้หญิงที่เคยแต่งหน้า-แต่งตัวจัด แต่ตอนนี้เธอล้างเมค-อัพจนหมด แล้วมานั่งข้างๆ เรา เพื่อเล่าเรื่องของเธอให้เราฟัง


ยังไงซะ แม้ว่าใบหน้าที่ประเคนเครื่องสำอางค์จะสวยเริ่ดยังไงก็เถอะ แต่ยังไงซะ ใบหน้าที่ไร้เมค-อัพนะแหละ ที่สวยที่สุดแล้ว


เพลงของเธอก็เป็นแบบนั้นแหละ


ปล. อยากทราบรายละเอียดของเธอมากกว่านี้ ลองเข้าไปที่ http://www.yarindabunnag.com/ และ http://www.yarinda.com ครับ