Skip to main content

Shall we dance : เมื่อฉันอายุ 50 คุณจะยังรักอยู่ไหม ?

คอลัมน์/ชุมชน


ปิดเทอมที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสได้อยู่กับพ่อและแม่เพียงน้อยนิด ด้วยหน้าที่การงานที่รออยู่ ในเมืองใหญ่ที่ใคร ๆ ก็ฝากความหวังฝากชีวิต และฝากอนาคตไว้ ในเมืองอันแสนจะวุ่นวายและโดดเดี่ยวแห่งนี้ … กรุงเทพมหานคร


แต่การกลับบ้านนั้นสร้างความอบอุ่นอันแปลกประหลาดสำหรับใครสักคนที่ห่างหายจากความรู้สึกอันเรียกว่าบ้านและครอบครัวมานาน แต่สำหรับใครบางคน บ้านอาจจะกลายเป็นสถานที่สุดท้ายที่อยากจะคิดถึง อยากจะไปถึง การได้กลับบ้านครั้งนี้ ไม่เพียงความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยที่รู้สึกได้ทันทีเมื่อได้เห็นเพียงขอบรั้วหน้าบ้าน แต่พ่อและแม่ช่างเป็นแรงบันดาลใจให้มองข้ามไปยังอนาคต


วันหนึ่ง ขณะที่ฉันนั่งรถไปทานข้าวเย็นกับพ่อและแม่ เราหยุดรอน้องสาวอีกคนที่กำลังวิ่งไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ พ่อและแม่คุยกันอย่างกระหนุงกระหนิง ก่อนจะมีปากเสียงกระทบกระทั่งกันด้วยอารมณ์สนุกสนาน หยอกล้อเหมือนความรักของเขาทั้งสองคนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานก่อน ถึงแม้ฉันจะเป็นลูก แต่ก็อดเขินไม่ได้กับภาพและเสียงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า การหยอกเอินกันด้วยความรักของชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งแต่งงานกันมานานกว่ายี่สิบปี มีลูกสามคน อายุเกือบจะห้าสิบแล้ว … แต่เขายังรักกัน


มื่อฉันอายุเท่าพ่อและแม่ ความรักของฉันจะยังคงสดใสและเบิกบานเหมือนกับพ่อและแม่หรือเปล่านะ นั่นคือสิ่งที่ฉันสงสัย แต่มากไปกว่านั้น ฉันอยากรู้ว่ามีวินาทีใด หรือนาทีใด ที่เขาทั้งสองคนจะไม่รักกันหรือเปล่า หรือจะมีเสี้ยววินาทีไหนที่เขาจะไม่มีความสุขกับคู่ชีวิตที่นอนอยู่ข้าง ๆ โดยปราศจากเหตุผลของการทะเลาะเบาะแว้งกัน


เหมือนกับ ประโยคหนึ่งที่ริชาร์ด เกียร์ พูดไว้ในหนังเรื่อง Shall we dance กับภรรยาของเขา ซูซาน ซาแรนดอน


" ผมไม่กล้าบอกคุณว่า ผมไม่มีความสุขอีกแล้ว ในการอยู่กับคุณ"


ความแปลกใจของฉันคือ ความรัก ความสุข ของคู่รักมันหายไปได้อย่างไร เมื่อไหร่ เพราะอะไร พ่อของฉันเคยรู้สึกไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับแม่ เหมือนที่ริชาร์ด เกียร์ ในบทบาทของทนายหนุ่มใหญ่ จอห์น คล้าก พูดกับภรรยาของเขาหรือเปล่า


จอห์น คล้าก ทนายหนุ่มใหญ่ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีครอบครัวที่อบอุ่น มีภรรยาและลูกสาวอีกหนึ่งคนที่น่ารัก แต่ดูเหมือนว่า ความรักความอบอุ่นที่เคยมีมาตลอดชีวิตการแต่งงาน ชีวิตในการทำงานอันรุ่งโรจน์ กำลังถูกตั้งคำถามถึงความเบิกบาน ถึงความสดใส ถึงความแปลกใหม่ ถึงความซ้ำซากเบื่อหน่าย ถึงสิ่งที่ขาดหาย และสิ่งที่จะมาเติมเต็ม


และแล้ว ‘ สิ่งที่ขาดหาย’ ของ คล้ากก็ได้รับการเติมเต็มจากครูสาวสอนเต้นรำ ‘ การเต้น’ คือการค้นพบจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่มาเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายไปในชีวิตอันสมบูรณ์ของคล้าก ทำให้ชีวิตเขาเพอร์เฟ็กส์ตามแบบฉบับอเมริกันดรีมได้


คล้าก เลือกที่จะไปเรียนเต้นในตอนเย็นของวันพุธ วันที่เขาจะหายไปจากเวลาของครอบครัว ของสามี ของพ่อ แต่เขาจะเป็นเพียงนักเรียนเต้นที่ไม่เอาไหน แต่สนใจที่จะเรียนรู้ และสนุกสนานกับสิ่งแปลกใหม่เหมือนเด็กที่ค้นพบว่า โลกใบนี้ยังมีสิ่งอื่น ๆ อีกมากมายที่เขายังไม่เคยได้สัมผัสและรู้จัก




คล้ากสนุกกับมัน ตื่นเต้นกับมัน จนถึงกับลงสมัครแข่งเต้นรำ พร้อมกับความสงสัยของภรรยาถึงเวลาที่หายไปของสามี จนถึงขั้นจ้างนักสืบติดตามด้วยเซ้นต์ของภรรยา เรื่องยุ่ง ๆ ระหว่างสามีและภรรยาเกิดขึ้น ไม่ใช่เหตุจากสามีปันใจให้ครูเต้นรำสาวสวย แต่เป็นเพราะความคลางแคลงใจในความรักของสามี ในความเป็นครอบครัว และความมั่นคงทางจิตใจ


สิ่งที่น่าสนใจสำหรับฉัน คือในขณะที่ใคร ๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในเวอร์ชั่นที่เป็นหนังญี่ปุ่นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเวอร์ชั่นที่เป็นญี่ปุ่นสนุกกว่าเยอะเลย ตลกกว่าเป็นไหน ๆ ฉันยังไม่ได้ดูเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ซึ่งเป็นต้นฉบับ ก็เลยไม่สามารถบอกได้ว่าชอบแบบไหน หรือแบบไหนดีกว่ากัน แต่ฉันคิดว่าบางทีเรื่องราวที่จะสื่อสารคงต่างกัน เด็ก ๆ วัยรุ่นที่ไปดูหนังเรื่องนี้คงจะไม่สนุกไปกับมัน แต่ผู้ใหญ่ในช่วงวัยผ่านพ้นความหวานชื่น คงจะดูด้วยความเข้าใจ และตื้นตัน


เหมือนกับหนังเรื่อง ‘The Bridge of Madison County’ ผู้หญิงช่วงวัยหนึ่งอาจจะบอกว่านางเอกควรจะหนีไปกับชู้รัก แต่ก็มีผู้หญิงอีกส่วนมาก ผู้หญิงซึ่งผ่านวัยการแต่งงานและมีลูกแล้ว ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นางเอกตัดสินใจถูกต้องแล้ว


Shall We Dance ก็เช่นเดียวกัน หนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงการเต้นรำ ไม่ได้พูดถึงการแข่งขัน ไม่ได้พูดถึงความใฝ่ฝัน แต่พูดถึง การหายไปของความรักในช่วงวัยหนึ่ง วัยที่ความหอมหวาน ซาบซึ้ง กุ๊กกิ๊ก วัยที่ทุกอย่างครบพร้อมสมบูรณ์ แต่ความรักอาจจะหายไป


การเต้นสำหรับคล้าก คงไม่ใช่เพียงความชอบหรือกิจกรรมที่เขาใฝ่ฝันที่ยังไม่เคยได้ทำในชีวิต และสำหรับคนอื่น ๆ ที่มาเรียนเต้นที่นี่เหมือนกัน ไม่เว้นแม้แต่ครูผู้สอนเต้น ทุกคนนั้นกำลังตามหาสิ่งที่หายไปในชีวิต อะไรบางอย่างที่คิดไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ความรัก ความกล้า ความฝัน ทุกคนมารวมกันที่โรงเรียนสอนเต้นเพื่อที่จะตามหามัน


คล้ากก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่ชีวิตของเขาสุขสมบูรณ์ แต่ความรู้สึกบางอย่างมันหายไป ความรู้สึกที่เรียกว่ารัก ที่เรียกว่าความสุข ต่อภรรยา คู่ชีวิต หายไปโดยไม่มีสาเหตุ ไม่รู้จะตามหามันที่ไหน ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนเกาะหน้าต่างแล้วมองมาที่เขาทุกวัน ในขณะที่เขานั่งรถไฟกลับบ้าน ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งดูเหมือนว่ากำลังตามหาบางสิ่งบางอย่างที่ขาดหายเหมือนเช่นเดียวกับเขา คือแรงดึงดูดให้เขาและมาลีน่า ครูสอนเต้นรำมาเจอกัน และทั้งสองต่างเดินทางด้วยความรู้สึกในการหาสิ่งที่หายไปด้วยกัน


ฉันไม่รู้ว่าคนเราจะรักกันไปถึงเมื่อไหร่ เมื่ออายุ 50 แล้วความรู้สึกเหมือนเมื่อครั้งรักกันแรก ๆ จะยังคงอยู่รึเปล่า หรือจะหายไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกับคล้าก และฉันก็ไม่แน่ใจว่าทำไมพ่อและแม่ฉันถึงไม่เป็นเหมือนคล้าก อาจจะเป็นไปได้ว่า ชีวิตครอบครัวของคล้ากสมบูรณ์และเพอร์เฟ็คส์ ส่วนครอบครัวฉันยังไม่สมบูรณ์ พ่อและแม่อาจจะไม่ได้คิดว่าคนที่นอนอยู่ข้าง ๆ มีความสุขดีอยู่ไหม เพราะไม่มีเวลา ในเมื่อต้องหาเงินมาเลี้ยงดูลูก ๆ ต้องทำงานเยอะแยะมากมาย ประเดี๋ยวก็ค่าเทอม ค่าอยู่ค่ากิน ค่าผ่อนรถ อื่น ๆ อีกมากมาย สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตของพ่อและแม่ฉันจึงเป็นคนละแบบกับคล้าก ในเมื่อเรื่องทางวัตถุยังไม่สมบูรณ์ พ่อและแม่ของฉันจึงไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องจิตใจ




จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมผู้คนที่ยังไม่รวย ยังคงต้องดิ้นรนหาเลี้ยงปากท้อง วันต่อวัน เดือนต่อเดือน เขาไม่เคยคิดจะถาม ‘ ว่าคุณยังรักฉันอยู่รึเปล่า’ หรือ ‘ คุณยังมีความสุขดีอยู่ไหมที่อยู่กับฉัน’ เพราะมันมีคำถามที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น เพื่อลูก ๆ และครอบครัวคือ ‘ พรุ่งนี้เราจะมีเงินหรือเปล่า’


ใครบอกว่าจิตใจสำคัญกว่าวัตถุ เห็นคงจะไม่จริง