Skip to main content

ตรอกเหล่าโจ้ว

คอลัมน์/ชุมชน







เรานัดเจอกันที่แม่น้ำปิง รู้สึกจะเป็นตอนบ่ายจัดๆ แดดสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายระยิบ ดอกหางนกยูงแดงฉานอีกฟากฝั่งหนึ่ง จากจุดที่เรานั่งคุยกัน สะพานนครพิงค์รองรับรถยนต์และพาหนะอื่นๆ มีแต่การเคลื่อนไหวตลอดเวลา

เธอสวมเสื้อสีขาว ปกแปลก กางเกงสีแดงสด รองเท้าก็แปลก เล็บเท้าของเธอแดงก่ำ แต่ริมฝีปากกลับซีดเซียว เธอส่งยิ้มแต่ไกล ใกล้เข้ามากระทั่งเห็นคิ้วซึ่งสักแล้วถาวร สีน้ำเงินกึ่งเทา แปลกอีกเช่นกัน ฉันคิด ทำไมเธอไม่เลือกสีดำสนิท หรือการเสริมสวยราคาถูก ให้ได้เท่านี้?


"มาตั้งแต่เมื่อไหร่" เธอถาม
"หลายวันแล้ว" ฉันตอบ


เธอเงียบไป ฉันเองก็เงียบ อันที่จริง ระหว่างสายสัมพันธ์ของพี่กับน้องเราน่าจะพูดคุยกันมากกว่านี้สักนิด ยิ้มกว้าง จับมือ โอบกอด หรือหอมแก้มกันอย่างในหนังฝรั่ง แต่ขณะที่แดดกับเงาถูกลมพัดผ่านจนวูบวาบตลอดเวลา เรากลับพากันเขินเก้อ นิ่ง นึก ฯลฯ เหมือนไม่รู้จะทำอะไรต่อดี


"เป็นไงบ้าง เก็บเงินได้เยอะแล้วสิ" เธอพูดขึ้นในที่สุด
"ก็...นิดหน่อย" ฉันจงใจหลบเลี่ยง "พี่ล่ะ ชีวิตดีขึ้นบ้างหรือยัง"


เธอหันมามองหน้าฉัน "ชีวิตดีขึ้นบ้างหรือยัง" ฟังเป็นถ้อยคำหยาบคายหรือเปล่า? ฉันชักไม่แน่ใจรำไร หรือเป็นประโยคที่ไม่ควรมีในชีวิตจริง ควรเป็นบทหนัง บทละคร หรือเรื่องสั้นวรรณกรรมอะไรสักอย่าง ที่ตัวละครอีกฝ่ายจะตอบว่า "............................"


คิดยังไม่ทันจบ เธอก็พูดขึ้นว่า
"ก็งั้น ๆ"


ฉันเป็นฝ่ายมองหน้าเธอบ้าง นี่หรือ คืออดีตผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเคยสวย สาว สดสะพรั่ง เคยอายุเท่าฉันวันนี้ หรือน้อยกว่าฉันวันนี้ เคยมีรอยยิ้ม มีความรัก มีความสุข และมีสิ่งต่าง ๆ อีกมากซึ่งเคยทำให้เธอบอกฉันมาก่อนว่า


"แล้วชีวิตเราจะดีขึ้น...เชื่อสิ"


+++++++++++++++++


"แล้วชีวิตเราจะดีขึ้น" ดูเหมือน 'แม่' ก็เคยพูดคำๆ นี้ สมัยที่อายุสัก 14 - 15 ปี ฉันเคยนึกสงสัยอยู่ว่า มาตรวัดคืออะไร "แล้วชีวิตจะดีขึ้น" ดูจากตรงไหน เงิน ความเป็นอยู่ ความสุขทางใจ หรือความสุขทางกาย? การแต่งงาน การมีทรัพย์สิน มีความมั่นคง หรืออยู่ไปวันๆ ก็เรียกว่า "ชีวิตที่ดี" ได้


เธอเคยว่าฉันอยู่ครั้ง "คิดมากระวังจะเป็นบ้า" แล้วก็ "ทำๆ ไปเถอะงานน่ะ งานหนักไม่เคยฆ่าใคร ลำบากวันนี้ วันหน้าจะสบาย"


แล้วฉันจึงได้ตื่นแต่เช้า ออกเดินทางไปกับรถปิคอัพที่แดงฉานด้วยซากศพสัตว์ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ดีที่อากาศหนาวจับใจ เชียงใหม่ พ.ศ. นั้นยังมืดขมุกขมัว กอดเข่าก็แล้ว กอดอกก็แล้ว ฟันยังสั่นกระทบกันกึกกัก หนักเข้าฉันก็เหยียดขาลง เอนหัวพิงซอกเหล็ก หัวนิ้วเท้าเขี่ยโดนเนื้อนุ่มหยุ่น นึกในใจว่า ถ้าฉันมีกินมากพอ ฉันจะกินมังสวิรัติ (!)


ฉันถูกเธอส่งตัวไปทำงานเป็นลูกมือเขียงขายเนื้อในตลาดสด เงินเดือนราวๆ 500 บาท เธอยังตักเตือนว่า "เก็บใส่ออมสินไว้บ้าง มีบัตรประชาชนเมื่อไหร่ จะพาไปเปิดบัญชีธนาคาร"


นึกย้อนกลับไป ฉันคิดว่าเธอมองโลกในแง่ดีมากเกินไป ฉันไม่เชื่อว่างานหนักไม่เคยฆ่าคน ในเมื่อผู้คนมากมายล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เจ็บไข้ได้ป่วย ทนทุกข์สารพัด ฉันเคยถามเธอว่า


"พี่ คิดจริงๆ หรือว่าวันหนึ่งเราจะสบาย ตอนนี้ฉันเจ็บหลังแล้วนะ สับกระดูกแต่ละทีร้าวไปหมด พี่ขอค่าแรงเพิ่มให้หน่อยได้ไหม ไม่งั้นกว่าจะเก็บเงินได้อย่างพี่บอก ฉันอาจพิการไปก่อนก็ได้"


"คิดมากอีกแล้ว" เธอว่า "เรามันคนจน มีงานให้ทำก็ดีถมไปแล้ว คนเราทำดีได้ดี ไปปากมากเรื่องมาก แทนที่ได้ดี จะมีทุกข์เสียก่อน...แต่เอาเถอะ ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ไหว จะหางานใหม่ให้"


แล้วเธอก็ขอตัวฉันจากนายจ้างคนเก่า ส่งไปทำงานที่ใหม่
"ที่นี่แหละ... คราวนี้งานสบาย เงินเดือนได้มากกว่าเก่าอีกตั้ง 50 บาท ส่งไปให้พ่อสบายๆ"


ฉันในอดีต ครั้งหนึ่งในชีวิต จึงได้นั่งหน้าตายอยู่หน้าห้องน้ำในตลาดสดที่เดิม ฟังเสียงเหรียญหย่อนลงกระป๋องสังกะสีวันละร้อยๆ รอบ ฟังเสียงฝีเท้า เสียงราดน้ำ คำบ่น คำผุสวาท การป้องมือปิดปากจมูก ย่นคิ้ว นิ่วหน้า ดูและฟังการมาถึงของผู้คนที่ต้องการ "ปลดทุกข์" ซึ่งไม่แน่ใจว่า "สุข" แค่ไหน หลังออกจากห้องน้ำไป


+++++++++++++++++


"ปีนี้อะไรๆ ก็ไม่ดี"
เธอเอ่ยขึ้น หลังปล่อยฉันจมอยู่กับความคิดคำนึงเนิ่นนาน "ว่าจะไปเช่ารถแดงมาขับ น้ำมันก็ขึ้นราคาอีก ขายของก็ไม่รู้จะขายอะไร เหล้าตองไส้ย่างคนก็ขายกันเยอะ มีเงินหรือเปล่าล่ะ ยืมมาเปิดร้านคาราโอเกะหน่อยซี"


ฉันมองหน้าเธออีกรอบ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทันใดนั้นเธอก็หันมาหัวเราะ ลุกขึ้น ใช้มือปัดฝุ่นที่ก้น
"ล้อเล่นหรอก" ตาเธอมองสะพานนครพิงค์ "นึกถึงตอนพาเธอมาทำงานในกาด สมัยนั้นต่างจากตอนนี้มากเลยนะ"
"ฮื่อ"


"จำเจ๊ที่ขายผ้าอยู่เหล่าโจ๊วได้หรือเปล่า ที่เป็นญาติกับร้านขายเนื้อ"
"จำไม่ได้"


ในความทรงจำ...เลือนราง
"แล้วจำพี่หน้อยคนดูแลห้องน้ำได้ไหม"


คราวนี้ฉันพยักหน้า
"นั่นแหละ ตายหมดแล้ว เจ๊รู้สึกจะรถคว่ำตาย แต่พี่หน้อยนั้นผัวแกเป็นเอดส์ ป่วยตาย พี่หน้อยทนสภาพไม่ไหว ผูกคอตายตาม"


เหมือนแดดจะลดแสงลง ไกลจากวันนี้ไปหลายหมื่นแสนวินาที อดีตและผู้คนจำนวนหนึ่งเคยเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ตัวฉัน เคยสัมพันธ์กันหลายๆ รูปแบบ เราเคยยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ มีความสุข มีความทุกข์ มีความหวัง และหวังไม่เป็นจริงครั้งแล้วครั้งเล่า


เราต่างเป็นมนุษย์ที่ถือกำเนิดมาด้วยเหตุใดไม่ทราบ จากกลไกของธรรมชาติ จากน้ำมือพระผู้เป็นเจ้า หรือแค่องค์ประกอบทางเคมีเล็กๆ น้อยๆ ของจักรวาล หรือเกิดมาใช้กรรมตามคติทางศาสนา ?


ฉันรู้แต่ว่า วันหนึ่งเราก็มีลมหายใจ บางวัน ใครบางคนก็หมดลมหายใจ แต่เมื่อไรที่เรายังหายใจอยู่ เราก็จะวุ่นวายเวียนวนกับการใช้ชีวิต การกิน การนอน การตอบสนองความพึงพอใจทางกายและทางใจ มีเพศสัมพันธ์ มีความสุข มีความทุกข์ ฯลฯ เป็นวงจรชั่วชีวิตแต่ละคน ระดับขั้นในการ "เสพ" สิ่งต่างๆ กระมังที่ "ต่าง" กัน


แล้วฉันจึงตามหลังเธอ เดินขึ้นจากตลิ่งน้ำแม่ปิง มุ่งหน้ายังตลาดวโรรส ถัดไปอีกนิดมีตรอกเล็กๆ เป็นย่านขายผ้าชื่อว่า "เหล่าโจ้ว" เหล่า แปลว่า อาวุโส โจ้ว แปลว่า บรรพบุรุษ ณ ที่ซึ่งเหล่าบรรพบุรุษเคยทำมาค้าขาย มีความสุขและชีวิตรุ่งเรือง ชั่วกาลนานเหล่านั้น ก็มีชีวิตเล็กๆ อีกจำนวนมาก พยายามทำมาค้าขาย คาดหมายความสุข มุ่งหวังชีวิตรุ่งเรือง


เฉกเช่นเดียวกัน.