Skip to main content

ทำมาหากิน

คอลัมน์/ชุมชน







พี่หน้อยจะตื่นตั้งแต่ตี 3 ทุบประตูปังๆ! "ตื่น ๆ สายแล้ว ๆ"

งัวเงียออกประตูไป ภาพที่เห็นเจนตาคือ ผู้หญิงวัยสามสิบกว่า ก้มหน้าก้มตาลากเข่งบรรจุผักนานาชนิด ตรงไปยังหลังบ้าน ผลักตะกร้าลงบนลานซีเมนต์ มือหนึ่งคว้ากาละมังอลูมิเนียม อีกมือกระชากสายยาง


"เอ้า! รีบล้างเข้า อย่าอ้อยอิ่งร่ำไร ตะวันไม่รอใคร"


ฟังไพเราะเหมือนบทกวี "ตะวันไม่รอใคร" เธอพูดเป็นภาษาเหนือ ถ้าเพียงแต่ใบหน้าจะไม่บูดบึ้ง ดวงตาขุ่นมัวระคนความเครียด ฉันอ้าปากหาวอย่างสุดกลั้น เธอหันมองตาขวาง กระแทกของในมือโครม!


"ยังจะง่วงอีก ค่ำคืนดึกดื่นไม่รู้จักนอน อ่านอยู่ได้หนังสือน่ะ เปลืองเงิน เปลืองไฟ ทำงานไม่ไหวเดี๋ยวจะส่งกลับ"


ฉันหน้าตาตื่น กุลีกุจอคว้าม้านั่งตัวเล็ก โกยผักจากเข่งสู่กาละมัง หมุนหัวก๊อก น้ำพุ่งกระฉูด


"นี่…!!!" พี่หน้อยแผดเสียง "ค่าน้ำเดือนเท่าไหร่รู้มั้ย!"
"ไม่รู้ค่ะ"
"เอ๊อ...ไม่รู้!" ตอนนั้นฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ทำไมเสียงพี่หน้อยจึงเจ็บช้ำปานนั้น "ง่าวเข้าไป ง่าวให้เข้าเลิ้กเข้าเดิก!"


"เอะอะอะไรอีกแล้ว" เสียงผู้ชายพูดยานคางเข้าบ้านมา พี่หน้อยหันขวับ นัยน์ตาเบิกกว้างเหมือนจะประทุถ้อยคำออกมาอีกเป็นจำนวนมาก แต่กลับเงียบไป
ฉันงง เงยหน้าขึ้นดูผู้ชายที่ยืนในเงาสลัว ข้างต้นดอกพุดซ้อน ใกล้ราวตากผ้าระโยงระยาง มองผ่านชายเสื้อของหญิงเจ้าบ้าน ได้กลิ่นแอลกอฮอล์ พลางรู้สึกถึงการยืนไม่มั่นคงของฝ่ายชาย
"ว่าละอ่อนมัน" พี่หน้อยเสียงเบาลง "กลับมาแล้วหรือ"
"ง่วง" ผู้ชายอ้าปากหาวบ้าง เสียงเรอตามหลัง กลิ่นเหม็นเปรี้ยวคลุ้งออกมาในยามเช้าที่ควรเงียบสงบ
"ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จา" เขาพยายามสะกดคำพูดให้ถูกต้อง "แล้วนั่นจะล้างทำไม สลัดๆ ลงหม้อเสียแล้วเรื่อง สุกก็สะอาดไปเอง"


พี่หน้อยเหลียวมองผักปริ่มกาละมัง เม้มปาก พูดเสียงเบายิ่งกว่าเดิม
"ไปนอนเถอะ ฉันจะรีบเร่งมือ เสร็จแล้วจะเรียก"
"ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า วันนี้หนักไปหน่อย เพลียเหลือเกิน" ผู้ชายซึ่งกลับบ้านวันเว้นวันหาวอีกหวอดๆ "เรียกรถพ่วงตามเดิมแล้วกัน"
พี่หน้อยอ้าปากจะพูด แต่สามีเดินหายเข้าบ้านไปแล้ว

ราว ๆ หกโมงเช้า อาหารที่เราช่วยกันทำเจ็ดหม้อใหญ่ ๆ ก็เสร็จสิ้นลง ดับไฟในเตา ล้างภาชนะบางจำนวน พี่หน้อยเร่งรีบเข้าไปล้างหน้าหวีผม ฉันจัดเตรียมสิ่งของจำเป็นให้ครบครัน สิบนาทีต่อมา เสียงมอเตอร์ไซค์ที่มีกระบะเหล็กพ่วงข้างก็แว่วเข้ามา


คนขับดับเครื่อง ยิ้มยิงฟันกว้าง เขายังหนุ่มอยู่มาก แต่งตัวสะอาดเอี่ยมผิดจากคนขับรถรับจ้างหลายๆ คัน แต่พี่หน้อยไม่สนใจอะไรเลย สั่งการให้ฉันกับเขายกหม้อขนาดใหญ่ขึ้น "วางดีๆ" พี่ หน้อยพูดคำเดิมตลอดเวลา สำรวจข้าวของถ้วนถี่ เมื่อเห็นทุกอย่างเรียบร้อยดี ก็พยักหน้า "ไป"


รถเครื่องคำราม ฉันก้าวขึ้นรถ หย่อนสะโพกลงขอบข้างคันพ่วง จับตระแกรงเหล็กมั่น พี่หน้อยนั่งตรงข้าม นัยน์ตาจ้องฉันเขม็ง นานแสนนานหลายปีต่อมา แววตานั้นยังติดตรึง


เราขายของตั้งแต่หกโมงครึ่งไปถึงแปดโมงเช้าจริง ๆ ควรเปิดแผงเช้ากว่านั้น แต่การทำกับข้าวขนาดนั้น โดยมีกันแค่สองคน พยายามสักแค่ไหน ก็ได้เท่าที่เป็นอยู่ทุกวัน


ตื่นตีสาม ทำกับข้าวไปถึงตีห้าครึ่ง (คนมาส่งผักประมาณตีสอง) ทำนี่ทำนี่ ทำนี่ทำนั่น ทุกวินาทีมีค่าล้นเหลือ รีบทำรีบไป สายมากตลาดจะวายเสียก่อน กับข้าวเหลือเป็นหายนะอันยิ่งใหญ่ วันไหนมีแกงค้างหม้อ พี่หน้อยจะอารมณ์เสียทบทวี


มีแต่ผู้ชายในบ้านเท่านั้นที่จะนอนหลับใหลไม่ได้สติไปกระทั่งบ่าย เวลาที่เรากลับเข้าบ้านอีกครั้ง พร้อมของสดของแห้งอีกบางจำนวน พี่หน้อยรอบคอบเสมอ "มาถึงกาด จะเอาอะไรซื้อไปทีเดียว"


ดังที่คืนหนึ่ง ฉันถึงกับฝันร้ายว่าเรากำลังจะทำผักกาดจอ แต่...แต่ฉันลืมซื้อถั่วเน่าแผ่น อันเป็นเครื่องประกอบกระจ่อยร่อย (ใส่นิดเดียว) แต่...ไม่มีไม่ได้!


"ง่าว! ง่าวเข้าเลิ้กเข้าเดิก (เธอช่างโง่ลึกซึ้ง ประดุจเข้าป่าดงพงไพร) อี่ละอ่อนต่อนแต่น ไค่เอามะแขว่นยัดก้น! (นังเด็กน้อยสติปัญญากระท่อนกระแท่น อยากเอามะแขว่นยัดไส้) ตับปุดไส้ล่อน ไปเซาะมาเดี๋ยวนี้! (แม้ตับขาด ไส้ถลอก จงไปหามาเดี๋ยวนี้!)"


ฉันหวาดกลัวคำด่าของพี่หน้อยมาก ในจำนวนผู้คนที่เคยพบพานมา พี่หน้อยสร้างสรรค์ถ้อยคำได้จับจิตจับใจ ราวสายน้ำผุดสะพรั่งไม่มีวันจาง เธอด่าและด่า ด่าจนเสียงแหบเสียงแห้ง บางครั้งยังด่ากระทั่งระหว่างส่งแกงให้ลูกค้า รับเงิน ยิ้มรับคำชมว่าแกงอร่อย แล้วหันมาด่าฉันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


แต่นั่นเอง ดูเหมือนในช่วงยังเป็นเด็กหญิง ฉันโง่เง่าลึกซึ้งจนไม่เคยเฉลียวใจอะไร รู้แต่ว่าเงินทองเป็นของหายากเสียจริง มันทำให้เราทุกคนคร่ำเคร่ง ทนทุกข์ ไขว่คว้า เก็บออม กระเสือกกระสน เพียรพยายามทุกวิถีทางให้ได้มันมา


ซึ่งก็ได้มาประมาณเดิมทุก ๆ วัน


พี่หน้อยเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เมื่อแกงหม้อสุดท้ายหมดลง หยิบเงินจากกระเป๋าเสื้อทั้งหมดมานับถ้วนถี่
"วันนี้ได้กำไรสองร้อย" เธอดึงใบสีเขียวออกมาส่งให้ฉัน "เอาเกาเหลามาถุงหนึ่ง ป่านนี้อ้ายคงตื่นแล้ว"


บ่ายสามโมงเย็น แดดเหลืองรำไร ฟ้าทิศตะวันตกแลสวยกว่าด้านอื่น ๆ พระธาตุดอยสุเทพอยู่ทางนั้น พี่หน้อยบอกว่าถ้าวันไหนขายดีขายเร็ว จะพาไปเที่ยวสักวัน ฉันได้แต่รอ เพราะวันที่ขายดี ขายเร็ว ยิ่งทำให้พี่หน้อยมุมานะจะทำแกงเพิ่ม!


สามีพี่หน้อยตื่นแล้ว "นอนกินบ้านกินเมือง" พี่หน้อยพูดขมุบขมิบ แต่ครั้นเขางัวเงียลุกขึ้น เธอก็เรียกหาก๋วยเตี๋ยวและน้ำเย็นใส่น้ำแข็ง กุลีกุจอเอาใจ


ฉันนำของไปส่งให้ โดยฟองผงซักฟอกยังเปื้อนข้อศอก


ใช่แล้ว นอกจากทำกับข้าวขาย พี่หน้อยยังรับซักผ้ารายเดือน อ้อ ดูแลห้องน้ำในตลาดด้วย โดยมีฉันเป็นพนักงานประจำ "อ้ายว่านะ ผักน่ะ อย่าไปล้างเล้ย เสียเวลา"


เสียงซดน้ำแกงฮวบฮาบ ตามด้วยการสั่งน้ำมูกแรงๆ ดื่มน้ำอีกทีเสียงอักๆ พี่หน้อยยังคงเงียบกริบ ฉันกลับมาขยี้ผ้าในกาละมังใบเดิมที่ใช้แช่ผัก
"จะประหยัดเวลาอีกเยอะ เชื่ออ้ายเถอะ พิถีพิถันทำไม ใส่ชูรสมากๆ อร่อยไปเอง"
"ฉันทำของกินขาย" พี่หน้อยพูดเป็นครั้งแรก ฉันเงี่ยหูฟัง
"กินยังไง ก็ทำขายยังงั้น ถึงจะเหนื่อย จะเสียเวลา แต่ฉันก็มองหน้าคนได้เต็มตา"


ไม่มีเสียงจากผู้ชายอีก แต่การซดน้ำเกาเหลาโฮก ๆ ยังดังสม่ำเสมอเป็นปกติ - ปกติเช่นเดียวกับการปลุกฉันแต่เช้าทุก ๆ วัน ด่าฉันทุก ๆ วัน และพิถีพิถันปรุงอาหารในทุก ๆ วัน


ผ่านมาและผ่านมา ฉันเดินออกมาจากบ้านไม้หลังนั้น จากซอยเล็ก ๆ แคบ ๆ แห่งนั้น ตลาดสดและเส้นทางเก่า ๆ เหล่านั้น สู่โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล


ที่ซึ่งกวาดตามองไป ที่นั่น ที่นี่ ที่โน่นและมากมายหลายแห่ง ยังมีผู้คนประกอบอาชีพเหมือนพี่ หน้อยเคยทำมา มีคนที่รักและจริงใจในวิชาชีพของตน หรือไม่รักแต่จริงใจในวิชาชีพของตน ทำมาค้าขาย ทำมาหากิน คำนึงถึงคู่ค้าและลูกค้า ปฏิบัติต่อมนุษย์คนอื่น ๆ เหมือนปฏิบัติต่อตนเอง

แต่ด้วยเหตุอันใด
หรือเอาเข้าจริง ๆ ฉันยังโง่ลึกซึ้งอยู่ในป่าดงพงไพร สารภาพว่าในหลาย ๆ ครั้ง เมื่อคิดถึงพี่หน้อย มองผ่านคำด่า พายุอารมณ์ และคำประกาศสวยงามวันนั้น ฉันอดมีคำถามไม่ได้


โลกไม่ได้มีแต่คนอย่างเธอ ยังมีคนอย่างสามีของเธอ หรือคนอย่างฉัน และต่างจากฉัน คนอีกมากมายที่ไม่เคยเหลือบมองข้าวแกงข้างถนน ไม่ซื้อ ไม่กล้าซื้อ ไม่มั่นใจที่จะซื้อ มีทางเลือกเกินกว่าจะซื้อ ฯลฯ


แล้วในโลกแห่งการขาย ๆ ซื้อ ๆ คำว่า "ทำมาหากิน" มีความหมายประการใด?