Skip to main content

"ดวงตาของคนพเนจร"

คอลัมน์/ชุมชน








เรื่องและภาพโดย... วาดวล





 



 



 


เอื้อมหยิบดวงดาวของคืนฤดูร้อน


แสงระยิบนั้น


อยากประดับดวงตาเธอแทนหยดน้ำตา

พราวอยู่ในสีดำสนิท


คือแสงกระพริบอันห่างไกล


คิดถึงการรอคอยที่ยังไปไม่ถึง....


 


@@@@@@@@@


ฉันกำลังเดินไปตามถนนสามเสน


บทกวีไม่มีชื่อจากสมุดบันทึก ลอยเข้ามาเหมือนเพลงซึ่งไร้ทำนอง


ดวงไฟข้างถนน เรียงตัวบอกเล่าถึงแสงสว่าง จากดวงที่หนึ่ง .. ถึงดวงที่สอง และสาม


ทำให้ถนนของฉันปลอดภัย อีกไม่กี่นาที ..จะถึงบ้านแล้ว



บ้านหลังเล็กๆ ของฉันเป็นทาวเฮาส์ให้เช่า หลังคาสีแดงน้ำตาล


มีที่พักสามชั้น ที่พักชั่วคราวที่ยังไม่มีสิทธิ์เป็นเจ้าของ


แต่ละห้องในบ้านมีขนาดเล็กพออยู่ได้ มีแอร์เก่า ๆ อยู่ในห้องโถง


พื้นที่หน้าบ้านเป็นที่อาศัยของต้นไม้ที่อยู่แต่ในกระถาง


เราเลี้ยงแมว 5 ตัว วิ่งไล่เล่นอยู่ในโลกที่จำกัด


ทุกอย่างคือฝันจำลองที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ได้โดดเดี่ยวเกินไปนัก ...



มันอาจยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ ….


แต่วันนี้ฉันรู้สึกแปลกไปจากที่เคยเป็น

ฉันกับเธอ สบตากันแค่เสี้ยววินาที


เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่สถานีรถไฟ เธอหันหลังให้รางและหันหน้าออกถนน


บนเก้าอี้หินสีขาว มีกระเป๋าของเธอวางอยู่ และกระเป๋าใบนั้นสีขาวขุ่น


ผมของเธอยาวเคลียแก้ม ผิวแก้มเธอดูสุขภาพดี ..


แต่ดวงตาเธอยามกระทบแสงไฟระยิบดั่งหยาดน้ำค้าง


เธอคงไม่จดจำฉัน แต่ฉันกลับอยากจะจดจำเธอ



เธอยกมือเช็ดน้ำตา มือซ้ายเล็กๆ หยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน


มันเป็นจดหมายจากซองสีชมพู เห็นชัดจากไฟนีออนบนหลังคาสถานี


ฉันหยุดเท้าให้ช้าลง ... เปลี่ยนสายตาเป็นตั้งใจจ้อง ค่ำขนาดนี้.. เธอจะไปไหนกัน..


ความกระวนกระวายแต้มอยู่ในใบหน้า เธอพับและเก็บจดหมาย แต่แล้วคลี่ออกอ่าน


เธอพับมันอีกครั้ง ไม่ทันจะใส่ซอง แล้วเธอก็คลี่ออกอ่านอีก



ฉันแน่ใจว่าเธอรอใครสักคน … สายตาเลื่อนลงต่ำ


เห็นกางเกงยีนส์ขาตรงไม่ร่วมสมัย เสื้อยืดมีลวดลายเต็มตัว


ทรงผมเธอเป็นทรงนักเรียน และใบหน้านั้นไม่ประสีประสา .. นี่กระมัง คือฉันเมื่อหลายปีก่อน



เธอจะนึกออกไหม .. ในช่วงเวลาเดียวกันนี้


ฉันก็เคยนั่งอยู่ม้านั่งเดียวกันกับเธอ และก็ร้องไห้ ยามที่ฉันคิดว่าฉันจะต้องกลับบ้าน



ฉันเดินทางมากรุงเทพฯ หลายปีแล้ว


มีเสื้อผ้าในกระเป๋าสามชุด มีเงินในกระเป๋าสามร้อยบาท


พี่สาวของฉันไปรับที่สถานีรถไฟ ตอนนั่งรถมาคนเดียว


ฉันหยิบจดหมายที่เขียนแผนที่ฉุกเฉินเอาไว้อ่านแล้วอ่านอีก


นอกเหนือจากนั้นเป็นสมุดบันทึก และก็หนังสือชื่อ ขอความรักบ้างได้ไหม ของ พิบูลศักดิ์ ละครพล


ฉันบอกไม่ถูกว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ มาเรียนต่อ มาหางานทำ มาตามหาใครสักคน


หรือว่ามาตามหาตัวเอง



ช่วงเวลานั้น เคยคิดว่า จะมีใครเหงาเท่าฉันบ้างไหม


ชานชาลารถไฟมีแต่คนเดินทาง คิดไปเองว่า คนเดินทางบ่อยไม่เคยเหงา


แต่ดวงตาพวกเขากลับคล้ายไม่ใช่ คิดแล้วไม่มีคำตอบ ...


ฉันรู้แต่ว่า เราต่างไม่กล้ายิ้มให้กัน .. คนแปลกหน้าที่เพียงบังเอิญผ่านมาเจอ


เราเดินสวนกันเหมือนสายลมพรมพร่าง



รอเวลาที่จะแยกย้ายเคลื่อนไหวห่างกันออกไป .. ออกไป จนลับสายตา


หายเข้าไปในตึกสี่เหลี่ยม พักผ่อนในห้องเล็กๆ


คืนนั้นเราอาจจะฝันถึงวันข้างหน้าที่ต่างกันออกไป



ที่จริงตอนนั้นฉันอยากกลับบ้าน


คืนนั้นที่สถานีรถไฟ ดูไปไม่ต่างจากวันนี้ ฉันคิดถึงพ่อ และไม่ได้หมายถึงแค่การไปเยี่ยม


ฉันคิดถึงบ้านไม้สีน้ำตาล อยากกลับไปอยู่ที่นั่น บ้านของฉันมีดอกบานบุรีบานระย้า


คิดถึงแสงแดดอุ่นและกองไฟหน้าหนาว นึกถึงรอยยิ้มพ่อในวันแต่งงานใหม่


ที่จริงฉันมีความสุข เมื่อพ่อมีรักอีกครั้ง...


เพียงแต่เมื่อถึงยามค่ำ ที่เรามักอยู่ในความเงียบ


รูปถ่ายใบสุดท้ายของแม่ที่ติดผนัง เสียงทานข้าวเงียบๆ .. ตื่นเช้าและรีบเข้านอน


ผ้าถุงลายหางนกยูงสีส้มที่ใส่ให้แม่ก่อนเราจากกัน คิดแค่นี้ฉันก็อยากร้องไห้ ..


ที่นั่นเป็นที่เหมาะสมกับสำหรับคนเข้มแข็ง ที่ไม่ใช่ฉัน



@@@@@@@@@


ดวงดาวสีขาวเล็ก ๆ โผล่จากหลังตึกมาทักทาย


ฉันเดินห่างเด็กหญิงคนนั้นมาจนลับสายตา เสียงหวูดรถไฟดังอีกครั้งก่อนเดินทาง


ก้าวแต่ละก้าวถัดจากนั้น เชื่องช้า ไม่มั่นคง


ภาพของเธอติดตา กลายเป็นคำถามไร้คำตอบว่า ฉันควรไปทักเธอไหม


ฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่า .. ถ้าคืนนี้เธอไม่มีที่นอน เธอจะพบอะไร


ฉันเคยใฝ่ฝันถึงรอยยิ้มแปลกหน้า บริสุทธิ์ จริงใจ นี่หรือเปล่าเล่าคือคำตอบว่าทำไมเราไม่ได้พบ



คืนนั้นฉันนอนหลับตา แต่ฝันไม่สนิทใจ


ทำได้แค่เพียงหวังว่าเธอจะปลอดภัย .. หวังเธอสิ่งที่เธอค้นหา


ในกรุงเทพมหานคร เราคือคนแปลกหน้า แต่หวังว่าเธอจะเป็นนกพเนจรอีกตัว


ที่มีความสุขและความฝัน

สักวันเราอาจจะได้เจอกัน