Skip to main content

"อีกครั้งกับสายฝน"

คอลัมน์/ชุมชน








ปี ๒๕๓๙


ฉันเขียนบันทึกว่า


กรุงเทพฯ


ฝนหยุดตกแล้ว ท้องฟ้าแห้งหมาด ตึกข้างนอกเริ่มมีสีสว่างเหมือนเดิม


เมื่อฝนพรำ โลกดูขมุกขมัว ฝนพร่างห่มเมือง ต้นไม้เปียก ถนนลื่น เสื้อผ้าของคนเดินถนนเปียกชื้น กระจกรถยนต์เป็นฝ้า


ฉันตื่นเช้า ชงกาแฟถ้วยหนึ่ง ฟังเสียงฟ้าคำราม นึกถึงบ้านนอก ป่านนี้ พ่อกำลังเก็บข้าวของใต้ถุนบ้านอยู่หรือเปล่า วิทยุบอกว่าภาคเหนือจะมีฝนตกหนัก ฝนหนักครั้งใด บ้านของเราจะถูกน้ำท่วมเสมอ หวนนึกถึงวัยเยาว์ พ่อกับแม่ขนข้าวของให้พ้นน้ำเป็นภาพที่ชินตา คุ้นเคย เหมือนกระแสขุ่นข้นล้นฝั่ง กับภาพแม่มีรอยยิ้มแจ่มจ้า ดีใจจะได้วางยอดักปลา


……………


ฤดูฝนเวียนมา แล้วก็จะเลยผ่านไป สายฝนแต่ละหนให้ความทรงจำแตกต่างกัน บางคราว ฝนเคยทำให้ฉันเศร้าเจ็บปวดขึ้นอีกกับรอยแผลในชีวิต


แต่หลายหน ฝนกลับอุ่น เคยเดินจูงมือใครหลายคนกลางฝนพรำ คนละสถานที่ คนละเวลา แต่แปลกที่ความอุ่นใจนั้นกลับหลอมละลายคล้ายกัน


ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นอีกหลายปี มีบันทึกอีกฉบับหนึ่ง


ฉันมักนึกถึงชีวิตเปรียบเทียบกับฝน


ฤดูฝนสำหรับฉัน คือฤดูกาลแสนเศร้า แต่นั่นเอง ปฏิเสธไม่ได้ว่าฝนนำมาซึ่งความแจ่มใสเบิกบาน เป็นส่วนสำคัญในการก่อกำเนิดสรรพสิ่ง


ฝนนำน้ำมา เมื่อน้ำพอดีและมีแสงแดดส่อง พืชพันธุ์ก็เจริญเติบโต ในหลายๆ   ครั้ง ฉันจึงพยายามมองโลกในแง่ดีว่า ความเจ็บปวดทั้งหลายคงมีเพื่อให้ฉันเติบโตขึ้น แข็งแรงขึ้น และหากฉันรอคอยเป็น อดทนพอ สักวัน ฉันจะงอกงาม


....................................


ฉันกำลังนึกถึงสายฝนที่บ้านนอก ฤดูฝนเดี๋ยวนี้มีความหมายแค่ไหนกัน


กลับไปบ้านครั้งล่าสุด ท้องทุ่งแปรเปลี่ยนเป็นที่ดินถมแล้วกว้างขวาง ชาวสวน ชาวนาเหลือจำนวนน้อยนิด


พ่อเองยังพูดว่า " ใครเขาจะอยากมาทำนาทำไร่... ลูกเอ๋ย... มันไม่พอกินพออยู่ พี่ชายลูกไปรับจ้างเป็นคนงานในสวนดอกไม้ที่อื่น ยังเก็บเงินได้มากกว่าทำนาที่นี่"


ศิลปินมักชื่นชมภาพชาวนา ท้องทุ่งดูมีสีสันและเรื่องราว


คนเมืองเก็บเงินไปเที่ยวบ้านนอกเพื่อพักผ่อน ชมวิวทิวทัศน์ แต่คนบ้านนอกต้องเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง เพื่อชีวิตจะได้มีกินมีใช้ ดำรงอยู่ต่อไปในโลกที่ ‘ ลืมตามาแล้ว’


ฉันเองยังมองเห็นบ้านนอกงดงาม มีความหมาย คิดถึงครั้งใดก็ให้อาวรณ์


ภาพฝนตก ฉันยังเด็ก กระโดดโลดเต้นเล่นน้ำฝน ยังสว่างกลางใจ


ภาพที่พวกเรา เพื่อน ๆ เคยวิ่งไล่กันในสายฝน...แต่ฉันก็อยู่ในมหานครแห่งนี้ ทำงานที่นี่ ต้องมีเงินกับเวลาว่างเสียก่อน จึงจะขึ้นรถไฟไปเยี่ยมบ้านได้



...................................................



ปี 2548


ฤดูฝนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ฉันอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ พลิกเปิดไดอารี่เก่า ๆ ซึ่งเอ่ยถึงฤดูฝนครั้งแล้วครั้งเล่า


แต่วันนี้ ฉันอยู่ใกล้บ้านเกิดอีกนิด สักชั่วโมงเศษ ๆ ก็สามารถไปถึง มองเห็นรอยยิ้มของพ่อได้


แต่ด้วยเหตุใด บางครั้ง หรือหลาย ๆ ครั้ง ฉันกลับพึงพอใจที่จะอยู่เพียงลำพัง เฝ้ามองต้นไม้รอบบ้าน ดูฝนที่ตกลงมา ชำระล้างฝุ่นบนยอดไม้ ส่งเสียงคุ้นหู คุ้นใจ จนบางทีอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปรองน้ำฝน


เย็น แต่ไม่ยักกะชื่นใจ ?


ปีนี้ ฉันอายุเท่าไหร่แล้วนะ ? พ่อล่ะ น้องล่ะ แม่ล่ะตายจากเราไปกี่ปี?


ฝนมาเหมือนสัญญากับบางสิ่งบางอย่าง ไม่เคยผิดนัด (อาจคลาดเคลื่อนเหลวไหลนิดหน่อย) แต่ความหมายของสายฝนที่มีกับมนุษย์แต่ละอาชีพ คงไม่เท่ากัน


ชาวนาชาวไร่คงดีใจ แต่คนค้าขายคงเกลียดฝนนัก


ใครกำลังมีความรัก ฝนคงโรแมนติกน่าดู


ฉันเล่า ?


ฉันคว้ากล้องออกไปไล่เก็บรูปฝน ถนนแต่ละสายในเชียงใหม่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน


คงเป็นการกระทำที่ไร้สาระ (หรือมีสาระ ? ) ไยเต็มไปด้วยคำถามมากมายในชีวิต ฉันคิดพลางถ่ายรูปไปพลาง


แล้วสงสัยขึ้นมาอีกอย่าง


........................................


........................................


ฉันเติบโตงอกงามแล้วหรือยัง ?.














๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑