Skip to main content

ตามล่าหา ‘ จินตนาการ

คอลัมน์/ชุมชน

เมื่อเดินผ่านชีวิตนานขึ้น...นานขึ้น ฉันยังมีจินตนาการหรือไม่ ?


...และผลงานของเขา ‘Electrics shadow’ ร่วมกันตั้งคำถามนี้ขึ้น และทำให้ฉันรู้ว่า ยังมีอีกหลายความสำคัญในชีวิตที่ควรจะดูแลใส่ใจ


‘Electrics shadow’ เล่าถึง หลิงหลิงและเสี่ยวปิง ที่หลงใหลเรื่องราวบนแผ่นฟิล์มมาตั้งแต่เด็ก แรกทีเดียว หลิงหลิงดูหนังผ่านจอฉายสีขาวที่พ่อเลี้ยงของเธอควบคุมการฉาย (อารมณ์ประมาณหนังกลางแปลงบ้านเรา) และเสี่ยวปิงนี่เองที่สอนให้เธอดูหนังผ่าน ‘ กล้องส่องทางไกล’ สมบัติชิ้นเดียวที่เขาพกติดตัวตลอดเวลา หลิงหลิง จึงพบว่า การดูหนังผ่านจอกับการดูหนังผ่านกล้องส่องทางไกลแตกต่างกันลิบลับ โดยหนังที่ดูผ่านจอเป็นเรื่องเล่าของทีมสร้างหนังแต่หนังที่ดูผ่านกล้องส่องทางไกลเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากจินตนาการของตัวเธอเอง


แต่ละวันที่หลิงหลิงและเสี่ยวปิงเติบโตขึ้นมีองค์ประกอบมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต รวมถึงการที่ทั้งสองต้องแยกจากกันในวันหนึ่ง เสี่ยวปิงจึงมอบสมบัติของเขาให้เพื่อนสนิทที่สุดอย่างหลิงหลิง ซึ่งหนังบอกกับเราว่า หลิงหลิงใช้ประโยชน์จาก ‘ มัน’ พร้อม ๆ ไปกับการคิดถึงเพื่อนรักในวัยเด็กตลอดมา


เมื่อเดินผ่านชีวิตนานขึ้น...นานขึ้น ฉันยังมีจินตนาการหรือไม่ ?


คำถามนี้กระตุกต่อมคิดเมื่อหนังบอกกับเราว่า หลังจากเวลาผ่านไป เสี่ยวปิงยังชอบที่จะดูหนังเหมือนเก่า แตกต่างตรงที่เขาเลือกที่จะใช้เงิน (ที่หามาได้ยากยิ่ง) แลกกับการเข้าไปดูหนังในโรง โดยละทิ้ง ‘ หนังที่คิดขึ้นเอง’ ไป


ส่วนหลิงหลิง หนังบอกให้รู้เพียงว่า เธอใช้กล่องส่องทางไกลอันนั้นมองดูพ่อแม่ของเธออยู่ห่าง ๆ โดยหลีกเลี่ยงที่จะบอกว่า เมื่อวุฒิภาวะมากขึ้นเธอยังใช้ ‘ มัน’ เป็นเครื่องมือปั้นแต่งจินตนาการเหมือนในวัยเด็กหรือไม่


อย่างไรก็ตาม ลำพังแค่ ‘ เวลา’ ไม่น่าจะมีส่วนในการกัดกินสิ่งมีค่าที่เรียกว่า ‘ จินตนาการ’ ไปจากเสี่ยวปิงและหลิงหลิง องค์ประกอบที่ผ่านเข้ามาในชีวิตดูจะมีอำนาจมากกว่าหลายเท่าตัว


การที่เสี่ยวปิงต้องทำมาหาเลี้ยงตัวเอง วันทั้งวันนอกจากทำงาน นอน และดูหนัง (ในโรง) แล้ว เขาก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรอีก ส่วนหลิงหลิงใช้ชีวิตตามลำพังโดยมีความเศร้าและความรู้สึกผิดเป็นเพื่อน เหล่านี้น่าจะเป็นองค์ประกอบที่ทำให้ ‘ จินตนาการ’ ที่เคยโลดแล่นในตัวตนของทั้งสองค่อย ๆ ถูกกัดกร่อนไป จนวันหนึ่ง ‘ เรื่องราวที่สร้างขึ้นเอง’ เหล่านั้นก็ถูกลืมไป


ใคร ๆ ก็บอกว่า จินตนาการเป็นสิ่งสำคัญ


เพราะ ‘ มัน’ เราถึงมีหลอดไฟใช้

เพราะ ‘ มัน’ เราถึงมี ‘ สมองกล’ ตัวฉกาจที่ทำให้อะไร ๆ ง่ายยิ่งกว่าง่าย


และเพราะ ‘ มัน’ เราถึงมีหนังดี ๆ มีเพลงดัง ๆ ไว้เป็นเครื่องบันเทิงเริงใจและเรียนรู้ ‘ อะไร ๆ’ จากหนังและเพลงเหล่านั้นไปพร้อม ๆ กัน


เพราะฉะนั้นคงหนักหนาสาหัสสากรรจ์ ถ้าคนเราขาด ‘ จินตนาการ’


เพราะฉะนั้น ฉันถึงวนเวียนถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า ระยะทางที่เดินผ่านมายี่สิบปีกว่า ๆ มีองค์ประกอบใด ๆ มากน้อยแค่ไหนที่ดูดซับจินตนาการของฉันไป แล้วคำตอบที่น่าตกใจก็คือ จินตนาการใหม่แกะกล่องของฉันคือชิ้นไหนและคือเรื่องอะไร?


คำตอบที่ได้ทำให้ฉันย้อมถามตัวเองว่า องค์ประกอบอะไรในชีวิตที่ส่งผลให้ลืม ‘ สิ่งสำคัญของมวลมนุษยชาติ’ สิ่งนั้นไป?


ภาวนาให้คิดได้ในเร็ววัน จะได้แก้ปัญหาตรงจุดนั้น จินตนาการที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้ตัวเองหรืออาจแปรเปลี่ยนเป็นสิ่งประดิษฐ์ก้องโลกจะได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากหล่นหายไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้


คุณคิดยังไงบ้างเกี่ยวกับจินตนาการ?


เมื่อเดินผ่านชีวิตนานขึ้น...นานขึ้น คุณยังมีจินตนาการหรือไม่ ?