Skip to main content

หมาไม่มีเจ้าของ - ชีวิตไม่มีเจ้าของ

คอลัมน์/ชุมชน

แมวอ้วน



เช้า…ฉันแสดงความกังวลใจกับชีวิตข้างหน้า...ฉันกำลังสงสัยวันเวลาข้างหน้าของฉันกับชายหนุ่มที่เลือกอยู่ร่วมกัน...มันทำให้เราตัดสินใจยกเลิกการเดินทางไปต่างจังหวัด และเลือกใช้เวลาทั้งวันในกรุงเทพฯ เมืองเดิม ๆ ที่เราก็ยังไม่สามารถหามุมพักใจได้
........................................................................................................


เย็น....หลังจากเดินตามซอกซอยของเมืองใหญ่อย่างไร้จุดหมายที่แน่นอน เราตัดสินใจกลับบ้านเช่าที่ฉันไม่ยินดียินร้ายกับมันนัก...เราลงเรือจากฝั่งท่าพระจันทร์มายังท่าน้ำศิริราช เป็นที่รู้กันว่าถนนในโรงพยาบาลเป็นทางลัดออกสู่สถานีรถไฟบางกอกน้อยหลังเก่า ซึ่งบัดนี้มีรถโดยสารสีแดงวิ่งรับส่งคนจากท่าน้ำสถานีรถไฟไปยังจุดอื่น ๆ ในแถบตลิ่งชันและบางกอกน้อย


เรากำลังเดินลัดไปตามถนนภายในโรงพยาบาล ฉันอาศัยทางลัดนี้บ่อย ๆ จนคุ้นชินและกลายเป็นความว่างเปล่า ทว่าวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น


ร่างเล็กสีน้ำตาลแดงนอนตะแคงอยู่หลังกระถางซึ่งปลูกไม้พุ่มเป็นแนวยาวประดับทางเดินเท้าข้างตัวตึก มันเป็นหมาตัวเมียวัยกำลังโต ตัวมันกระตุกอย่างแรงจนฉันรู้สึกผิดสังเกต กระทั่งเราเดินพ้นขึ้นไปทางด้านหัวของมัน....


ฉันเคยเห็นวัวตัวใหญ่กระตุกสีข้างแรง ๆ เพื่อไล่แมลงที่มาไต่ตอม แต่สำหรับหมาน้อยตัวนี้ อาการกระตุกของมันแรงกระทั่งขาหลังและขาหน้าสะบัดขึ้นสูง เร็วและถี่ ตาของมันเหลือกค้าง น้ำลายใส ๆ บัดนี้กลายสภาพเป็นฟองสีขาวเหมือนผงซักฟองที่ถูกตีในน้ำจนได้ที่ มันไหลนองไปตามพื้น


ฉันไม่แน่ใจว่าอะไรทำให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ฉันแน่ใจว่ามันกำลังจะตาย


เราหยุดชะงัก ยืนดูมัน ฉันเริ่มรู้สึกพะวักพะวง ฉันคิดว่าฉันต้องช่วยมัน ขณะเดียวกันฉันก็รู้สึกว่ามันจะตายในไม่ช้า


.................................................................................................................................


ดวงตาที่เบิ่งค้าง และอาการกระตุกที่รุนแรงเหลือเกินนั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังมองดูการสู้รบระหว่างชีวิตกับความตาย...มันอยู่ตรงหน้าฉันนี่เอง ฉันรู้สึกลึก ๆ ว่าความตายกำลังเบียดแทรกเข้าไปกลืนกินพื้นที่ของชีวิตจนกระทั่งเหลืออยู่เพียงริบหรี่


ในใจของฉันเองก็กลายสภาพเป็นสนามสู้รบ ระหว่างความรู้สึกว่าต้องช่วยกับความรู้สึกสิ้นหวัง ฉันไม่รู้ว่าชายหนุ่มข้าง ๆ ฉันคิดอย่างไร แต่เรากำลังสืบเท้าต่อไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ ไปสู่ประตูทางออกด้านหลังโรงพยาบาล เรากำลังทิ้งมันไว้เบื้องหลัง


ฉันเดินเหลียวมองมันอยู่ตลอดเวลา ฉันอนุมานจากอาการของมันว่าหลังจากเราเดินผ่านมาไม่กี่ก้าว มันน่าจะหมดลม แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น ทุกครั้งที่ฉันเหลียวไปมอง ฉันยังเห็นขาสองข้างสะบัดขึ้นลงอย่างเร็วและแรง และดูเหมือนจะแรงกว่าเดิม


ฉันเห็นคนเดินผ่านมันไป ฉันหวังให้เขาหยุดดูมัน เผื่อเขาจะตัดสินใจได้ดีกว่าเรา แต่ก็ไม่ ทุกคนเดินผ่านไป บางคนชะงัก ชะลอดู ขณะที่บางคนเดินผ่านไปโดยที่มือข้างหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู เขาอาจไม่รับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากไปกว่าเสียงที่ส่งมาจากอีกปลายข้างหนึ่งของสัญญาณโทรศัพท์


"ป๊า...มันชัก มันโดนวางยา" ฉันบอกกับชายหนุ่มข้างกาย เขานิ่งงัน ไม่มีถ้อยคำโต้ตอบ ฉันยกมือขึ้นจับแขนของเขา ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังต้องการหลักพิงให้ความรู้สึกที่กำลังเศร้าและสับสน


เราเดินลับเหลี่ยมตึก ภาพของหมาตัวนั้นพ้นไปจากจอสายตา ฉันกอดแขนชายหนุ่มของฉันแรงขึ้น "ป๊า...มันน่าสงสาร ป๊า...มันเจ็บ" ตอนนี้ ฉันเริ่มรู้สึกผิด ฉันยังเห็นมันกระตุกอยู่ก่อนที่จะพ้นสายตาไป ฉันกำลังดูดายชีวิต ฉันกำลังปล่อยให้ชีวิตหนึ่งจากไปโดยไม่ทำอะไรเลย


อีกไม่กี่ก้าว เราจะพ้นจากประตูโรงพยาบาล...เราหยุด ชายหนุ่มหันมาถาม... "ทำไมเราไม่ช่วยมันล่ะ"


เราหันหลังกลับทันที สาวเท้าอย่างรวดเร็ว ถ้ามันตายแล้ว ฉันจะดีใจเพราะฉันเห็นมันทรมานเหลือเกิน แต่ถ้ามันยังไม่ตาย ฉันต้องช่วย เพียงแค่ให้มันทรมานน้อยลงก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย เพียงแค่เดินกลับไปก็ยังดีกว่าเดินผ่าน


มันกระตุกแรงกว่าเดิมจริง ๆ ดูเหมือนตัวมันกระดอนขึ้นลงตามจังหวะกระตุก ครั้งแรกที่ฉันเห็นว่าตัวมันกระดอนขึ้น ฉันหวังให้มันตายในทันใดนั้นเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ อาการกระดอนขึ้นลงยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ


ฉันเดินไปบอกกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในโรงพยาบาล เขาหัวเราะอย่างอึดอัดตอบกลับมาว่า เขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเปลี่ยนผลัดมาก็พบเจ้าหมาตัวนี้นอนกระตุกอยู่แล้ว เขาบอกว่าเขาจะรอให้มันตายแล้วจึงจัดการกับศพ ฉันละล้าละลังมากขึ้น เดินไปหามันซึ่งกระตุกไม่หยุด


เมื่อกลับมาอีกครั้ง ฉันพบนักศึกษาแพทย์สาว 2 คน กำลังทำท่าพะวักพะวงอยู่ไม่ต่างกับคู่ของฉันเมื่อเห็นมันครั้งแรก


เราทั้งสี่ต่างก็ไม่รู้วิธีจัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมเดินมาสมทบ พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกคน


ฉันคิดว่าต้องพามันไปส่งโรงพยาบาลสัตว์ การล้างท้องอาจจะช่วยได้บ้าง นักศึกษาแพทย์ทั้ง 2 คนก็ไม่รู้ว่าโรงพยาบาลรักษาสัตว์อยู่ที่ไหน


ฉันเลือกจะเดินออกไปยังประตูด้านหลังของโรงพยาบาลหวังจะเรียกรถตุ๊กตุ๊กสักคัน ในขณะที่ก็ยังไม่รู้ว่าหากได้รถแล้วฉันจะพามันไปที่ไหน อีกใจหนึ่งก็กลัวมันจะตายก่อนที่รถจะมาถึง


ระหว่างนี้เอง หมา 2 ตัววิ่งเข้ามาดูมัน เดินเข้าไปใกล้ ๆ ฉันอยากให้มันรับรู้ ว่ามันมีเพื่อนมาเยี่ยม...2 ตัวยืนมองมันสักครู่แล้ววิ่งไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้ มันยืนมองอยู่อย่างนั้น ฉันอยากรู้ว่ามันรู้สึกอะไร


การตัดสินใจของฉันไม่ดีเอาเสียเลย ฉันเลือกเดินกลับมาหามันอีกครั้ง ในขณะที่เริ่มมีนักศึกษาแพทย์มามุงดูมันเพิ่มขึ้นอีก ทุกคนตัดสินใจไม่ถูก ลึก ๆ แล้วฉันรู้สึกว่า ภาพที่เห็นตรงหน้ามันทำให้ชั่งใจไม่ถูกจริง ๆ ว่าจะทำอย่างไร


มันเป็นหมาไม่มีเจ้าของ ฉันคิดว่ามันคงอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้มานานเท่าอายุของมัน ถ้ามันไม่มานอนชักอยู่ตรงนี้ ฉันเองก็นึกไม่ออกว่าฉันจะสนใจมันหรือไม่ และจินตนาการไม่ออกว่ามันเคยได้รับความรักและการเอาใจใส่จากใครบ้าง มันเป็นหมาที่ผู้คนสามารถเดินผ่านโดยไม่ใส่ใจ มันเป็นหมาชนิดที่ผู้คนเดินผ่านมันบ่อย ๆ แต่จำไม่ได้ ...ตอนนี้มันกำลังจะตาย!!!


...........................................................................................................


เสียงจากเจ้าหน้าที่ฯ บอกว่ามีคลินิกรักษาสัตว์อยู่ตรงสี่แยกศิริราช ชายหนุ่มของฉันเสนอให้เขาช่วยเรียกรถเข้ามารับมัน เราตัดสินใจว่า เราจะพามันไปคลินิกท่ามกลางความละล้าละลังของคนอื่น ๆ


ฉันรู้สึกใจชื้นเมื่อได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ฯ พูดผ่านวิทยุสื่อสารซึ่งจับใจความได้ว่า เขาขอให้เจ้าหน้าที่ฯ หน้าประตูโรงพยาบาลเรียกรถตุ๊กตุ๊กวิ่งสวนทางวันเวย์เข้ามา


ฉันไม่รู้ว่าใครเตรียมทำอะไรบ้าง แต่สักพักฉันก็เห็นเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาพร้อมถุงสีดำ ชายหนุ่มของฉันจัดแจงวางมันลงข้าง ๆ ร่างที่เริ่มคลายอาการกระตุก เขากำลังจะอุ้มมันวางบนถุงใบนั้น เพื่อเคลื่อนย้ายได้สะดวกขึ้น นักศึกษาแพทย์ชายคนหนึ่งเข้ามาช่วยจัดการ พร้อม ๆ กับรถตุ๊กตุ๊กที่วิ่งสวนทางวันเวย์เข้ามารับ


ชายหนุ่มสองคนช่วยกันยกร่างที่เริ่มหายใจแผ่ว ๆ ปราศจากอาการกระตุกขึ้นรถตุ๊กตุ๊ก ขณะที่ฉันกระโดดขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว เราใช้เวลาไม่ถึง 5 นาทีก็มาถึงคลินิกรักษาสัตว์


ชายหนุ่มของฉันลงจากรถเข้าไปพูดอะไรสองสามคำกับเจ้าหน้าที่ภายในคลินิก และรีบเดินกลับมา ฉันเห็นว่าเจ้าหน้าที่ในคลินิกเดินตามออกมาด้วยอาการเร่งรีบเช่นกัน ฉันใจชื้น เพราะก่อนจะมาถึง ฉันกลัวว่าจะได้พบกับคำตอบประเภท "สายเกินไป ไม่รับรักษา"


..........................................................................................................................


เวลาเพียงไม่กี่วินาทีที่อยู่กับมันลำพัง ฉันเหลือบมองดูมัน เห็นหัวใจยังเต้น และร่างยังคงกระเพื่อมเบา ๆ ตามจังหวะหายใจ ระหว่างการเดินทางมายังคลินิก ชายหนุ่มของฉันใช้มือลูบและตบเบา ๆ ตามลำตัวและสีข้างของมัน พร้อมปลอบมันว่า "ใจเย็น ๆ เดี๋ยวก็ถึงหมอแล้ว" เขาพูดซ้ำ ๆ หลายครั้ง และวางมือไว้บนตัวมันเกือบตลอดเวลา


ขณะที่ฉันมองดูมัน ฉันรู้ตัวว่าฉันกลัว ฉันกลัวความตายจะเอาชนะมันได้ในวินาทีนั้น ฉันกลัวว่าถ้ายื่นมือไปสัมผัสปลอบประโลมมัน ฉันอาจจะได้สัมผัสกับความตาย ฉันกลัวความตายที่อยู่ในร่างตรงหน้า แต่ก็ยื่นมือออกไปลูบสีข้างมัน บอกมันเหมือนกับที่ชายหนุ่มของฉันบอก "ใจเย็น ๆ นะ"
............................................................................................................................


เขาอุ้มมันไปแล้ว มันได้ลัดคิวเข้าห้องรักษาก่อนใคร ชายหนุ่มของฉันเดินไปล้างมือเพราะเปื้อนของเสียจากร่างกายของหมาที่น่าสงสารตัวนั้น ขณะที่ฉันเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาเจียน


ฉันไม่ได้อาเจียนเพราะรังเกียจของเสีย แต่ความปั่นป่วนในท้องมันเริ่มขึ้นมาตั้งแต่เห็นการต่อสู้ระหว่างชีวิตกับความตายตรงหน้า ฉันเริ่มอยากจะอาเจียนตั้งแต่ตอนนั้น มันปั่นป่วนสับสน มันอาจจะจริงเกินไป


ฉันไม่เคยเห็นคนตายต่อหน้าต่อตา และอันที่จริงแล้วฉันเห็นสิ่งมีชีวิตตายไปต่อหน้าต่อตาน้อยมาก ฉันรู้ว่าทุกชีวิตต้องตาย แต่ฉันไม่เคยสัมผัสมันจริง ๆ


...........................................................................................................


ฉันเพ่งมองผ่านกระจกฝ้าซึ่งกันฉันออกจากห้องรักษาสัตว์ สัตว์แพทย์ถอดเครื่องฟังการหายใจออก ส่ายหน้า แต่แล้วก็เอามือกดลงที่ตัวหมาสีน้ำตาลตัวนั้นแรง ๆ 2-3 ครั้ง


เธอทำอย่างนั้นซ้ำอีกหลายที ฉันกับชายหนุ่มเริ่มหันมาปรึกษากันเรื่องค่ารักษาพยาบาล และตกลงกันว่าเราพร้อมจะจ่ายไม่ว่าจะเท่าไหร่ก็ตาม หากมันมีโอกาสรอดเราก็จะรักษาโอกาสนั้นไว้ให้มัน ลึก ๆ แล้วฉันรู้สึกผิดที่เราตัดสินใจช้ามากเหลือเกิน หากมันรับรู้ได้....ฉันขอโทษ


..........................................................................................................


บุรุษพยาบาลเปิดประตูออก ผายมือเชิญเราเข้าไปในห้องที่ทำการรักษา


"ไม่ไหวค่ะ เขาไม่ไหวแล้ว" สัตว์แพทย์บอกกับเราสองคน เราสนทนากันสองสามประโยค ซึ่งฉันเชื่อว่าทำให้เธอรู้สึกอนาถใจ


เราบอกเธอว่าเราไม่รู้จักมันเลย เราคิดว่ามันเป็นหมาที่อาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เราไม่รู้ว่าวันนี้มันกินอะไรมาบ้าง เราไม่เคยเห็นมันมาก่อน เราเดินผ่านมา และมันกำลังชักน้ำลายฟูมปาก....


เธอบอกกับเราว่าไม่คิดค่ารักษาพยาบาล เพราะเธอก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรมันมากนัก มันด่วนจากไปเสียก่อน พร้อมกันนี้เธอถามว่าจะช่วยอะไรเราได้บ้าง แล้วเราจะเอามันไปไว้ที่ไหน เราบอกว่าเราจะพามันกลับไปโรงพยาบาลที่มันอาศัยอยู่ เพราะก่อนหน้านี้ เราตกลงกับเจ้าหน้าที่ฯ ของโรงพยาบาลว่า ถ้ามันตาย เราจะเอามันกลับไป


...........................................................................................................


มันอยู่ในถุงดำ เราพามันกลับบ้านของมันแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรับปากว่าจะจัดการศพของมันให้ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะจัดการอย่างไรให้สมฐานะที่ครั้งหนึ่งมันเคยมีชีวิตอยู่บนโลก


เราบอกลาเจ้าหน้าที่ แล้วเดินทางกลับบ้าน