Skip to main content

ยามพลบค่ำของเพลิน

คอลัมน์/ชุมชน

ถนนทอดยาวอยู่ไกลตา


ฟ้าฤดูฝนวันนี้ หม่นมัวเหมือนมีผ้าม่านบางๆ มาปกคลุม


ผงกำมะหยี่ของยามค่ำ กำลังโรยตัวลงมาอย่างช้าๆ


อีกสักพัก เมื่อฟ้าปิดลง กลางคืนจะเป็นเวลาปัจจุบัน


 


ฉันอยู่บนถนนสายหนึ่ง ที่นี่คือเมืองเชียงใหม่


สถานที่ปัจจุบัน ชีวิตในวัยใกล้สามสิบ


การจากที่นี่ไปนาน และการได้กลับมาอีกครั้ง


อาจไม่ใช่แค่เมืองเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ความทรงจำมากมายแล่นไหวเตือนให้รู้สึก


ว่าบางทีฉันก็อาจไม่ใช่ – เด็กน้อยคนเดิมนั้นแล้ว


 


หรือเช่นเดียวกับเธอ


 


เพลินอยู่ในชุดกระโปรงยาวสีแดง เปลือยไหล่ขาวให้ดูผุดผ่องเวลาต้องแสงไฟ


ภายในห้องแถวสองคูหา ที่ถูกเรียกว่า ร้านอาหารและคาราโอเกะ


เพลินสะบัดผมไปข้างหลัง หันหน้าออกมาจากเวที ยิ้มให้กับคนในร้าน


จากนั้นเสียงเพลงก็เริ่มต้นบรรเลงจากริมฝีปาก


เสียงเล็กๆ กับท่วงท่าน่ารักน่าชัง เรียกเสียงปรบมือให้อย่างเทใจ


เพลินพยักหน้าเมื่อฉันเอ่ยอย่างที่คิดว่า


"เธอเป็นดาวของที่นี่หรือ"


"เป็นดาวราคาร้อยยี่สิบ" เธอว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะผลุบหายไปหลังร้าน กลับออกมาพร้อมมาม่าผัดจานใหญ่


"นี่ของพิเศษสำหรับเพื่อน ไม่ต้องจ่ายนะ ฝากแม่ครัวเขาทำให้"


ฉันยิ้มรับกับน้ำใจของเธอ เลื่อนจานมาม่าไปไว้ตรงกลางโต๊ะ เผื่อเพื่อนบางคนของเธอจะสนใจ


 


ฝนเริ่มตกอยู่ด้านนอก ส่วนภายในนี้ยังมีแต่เสียงดนตรี


แสงไฟสาดทาบสลับสี เขียว แดง เหลือง ขาว เพลินรอเวลาให้แขกคนอื่นขึ้นมาร้องเพลง


แล้วรีบมานั่งอยู่ข้างๆ ฉัน


"ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอ เราไม่เห็นหน้ากันมาสิบกว่าปี"


"นั่นสิ นึกว่าเพลินไม่ได้อยู่เชียงใหม่แล้ว" ฉันว่า


"อยู่กรุงเทพฯ เป็นยังไง ฉันอยากไปอยู่บ้าง"


"อยู่แล้วเหนื่อย นี่ไง กลับมาอยู่เชียงใหม่แล้ว" ฉันว่าพลางหัวเราะ


 


แอบมองเสี้ยวหน้าของเธอที่ต้องแสงไฟ แอบมองร่างกาย ลำแขน ท่อนขา ทุกอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปหมดสิ้น


เพลินที่ฉันรู้จักในอดีต คือเด็กผู้ชายที่ปั่นรถถีบเล่นด้วยกันบนถนนรอบด้วยท้องทุ่ง


คิดถึงท่วงท่า เมื่อดอกพุทธรักษาถูกเธอเด็ดกลีบ แล้วทาบต่อกับเล็บของตัวเอง


"โตขึ้นฉันจะสวย..." เธอเคยพูดลากเสียงยาว เมื่อเราจอดรถจักรยาน แล้วนั่งเล่นบนผืนหญ้า


ใต้ผืนฟ้ากว้าง เธอและฉันในชุดนักเรียนประถมปลาย


เวลานั้นเราตกลงใจ สัญญาว่าเราจะไปเรียนต่อด้วยกัน


แต่แล้ว "บางอย่าง" ก็แยกความฝันของเราให้ห่าง


 


"เพลินพักที่ไหน"


"ห้องแถวที่สันติธรรมน่ะแหละ"


"มันอยู่ไกลจากที่นี่ไหม" ฉันถามซื่อๆ อย่างคนที่นึกอะไรไม่ออก


"เดินไปสองร้อยเมตรก็ถึงแล้วจ้า" เธอยังหัวเราะร่าอารมณ์ดี


ก่อนจะสิ้นคืนของคืนวันนี้ เรามีเวลานั่งคุยกันถึงสารพันทุกข์สุข


อยู่ร่วมสองชั่วโมง


 


"เดี๋ยวฉันคงต้องกลับก่อน" ฉันเอ่ยบอกเวลา  เพลินดูจะเข้าใจในท่าที


ร่างเล็กๆ วิ่งผลุบหายไปภายในร้าน ไฟบางดวงถูกหรี่ให้มืดลง


"ฉันรู้ ดึกแล้ว ไปเถอะ ไว้วันไหนฉันตื่นเร็วๆ สักบ่ายโมง อาจจะแวะไปหา"


"ฮื่อ ตอนเย็นๆ ก็ได้ ไว้ไปกินข้าวกัน"


"เย็นๆของฉันก็คือที่นี่ไง ก่อนจะขึ้นร้องเพลงเรียกแขก ก็ต้องไปช่วยทำครัวก่อน กับจัดร้าน ที่นี่มีพนักงานแค่ 4 คน"


ฉันพยักหน้ากับเรื่องที่เธอเล่า แล้วเอ่ยว่าไม่เป็นไร


"สักวันเราคงได้พบกันอีก ถ้าไม่มีเวลาฉันจะแวะมาละกัน"


"อือ" เธอตอบสั้นๆ ริมฝีปากติดกันสนิท เหมือนเวลาอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่พูด


เช่นกันกับในวัยเยาว์ ทุกครั้งที่เธอเคยไม่สบายใจ เด็กชายตัวเล็กจะปาดน้ำตาวิ่งมาหาฉันที่บ้าน


แล้วเล่าให้ฟังว่าวันนั้นเธอเจออะไรบ้าง ไม่ว่าจะแม่ที่โดนพ่อตะคอกแล้วทำลายข้าวของ


หรือน้าชายที่ทำร้ายเธอ เพราะเธอไม่เหมือนเด็กผู้ชาย


 


ในเวลานั้น ฉันได้แต่ปลอบใจ ปลอบใจ และปลอบใจ


ปลุกให้เธอมีความฝัน ว่าเราจะมีวันดีดี เราจะไปเรียนให้จบและมีงานทำ ปลูกบ้านข้างๆ กัน


"ถ้าฉันมีเงินจะซื้อเสื้อสวยๆ อ้อ ฉันจะซื้อให้เธอด้วย"


 


............................................


สายฝนเริ่มต้นซา


อีกไม่นาน สักสามสี่ชั่วโมง


เมืองจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


บนถนนจะมีแต่รถรา ป้ายโฆษณาจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนไปตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ


เชียงใหม่ในสายตาโลก เชียงใหม่ในสายตาเรา


การเป็นเมืองใหญ่กำลังรอคอย ไม่มีสักนาทีที่เราจะถอยกลับสิ่งใดได้


"เพลินอยากย้อนเวลากลับไปไหม"


คำถามที่ฉันไม่ได้เอ่ย และอาจดูไร้สาระเกินไปด้วยซ้ำ


หรือคงมีแต่ฉันเท่านั้น ที่อาลัยกับวัยเยาว์แสนงดงาม ที่ซึ่งฉันและเพลินเคยเดินเล่น


บนถนนเส้นเล็กที่ล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าดอกเลา เด็ดในมือแล้วถือกลับบ้าน


ฮัมเพลงม้าลายไปตามถนนที่ไม่มีแม้แต่ผืนซีเมนต์ในยามพลบค่ำ


 


ยามพลบค่ำ ซึ่งถ้านับจากนี้


ฉันคงได้แต่นึกถึงร่างเล็กๆ ร่างนั้น สาละวนกับไม้กวาด ผ้าเช็ดพื้น


ชุดสีแดง รองเท้าส้นสูง ถ้อยคำเอาใจ และการร้องเพลงบนเวทีที่ทำด้วยไม้ฉำฉา


ทุกอย่างที่มีราคา "ร้อยยี่สิบบาท"  ต่อค่าแรงรายวันของเธอ.