Skip to main content

ความทรงจำ

คอลัมน์/ชุมชน

 



 


ฉันเดินออกจากบ้านหลังฝนตก ด้วยน้องสาวเรียกชวนให้ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดน้อยหลังหมู่บ้าน


คว้ากล้อง หยิบร่มกระดาษคันน้อย ย่าม 1 ใบ ในเสื้อผ้าซึ่ง อะแฮ่ม กะเร้อกะรังก็ว่าได้ แต่มองอีกมุม เอ่อ ชิว ชิว อยู่นะ ;-)


 


น้องสาวเดินนำหน้า เธอสวมเสื้อสีแดง ร่างใหญ่บึ้ม แหม ล่ำสันแข็งแรงดีจัง แบบนี้เธอคงตำน้ำพริก ละเอียดสุดยอด


 


เธอบอกว่า ถ้ามีปลาทู จะทำน้ำพริกให้กิน เห็ดถอบหมดฤดูไปแล้ว แกงใส่หน่อไม้ดองรสชาติไม่อยากบรรยาย ใส่ใบ ‘กอมก้อขาว’ หรือภาษากลางเรียกว่า แมงลัก กลิ่นและรสและสรรพคุณ สุดพรรณนา


 


 "แล้วเราจะทำไรกินดีล่ะ" ฉันถาม


คิดถึงแกงหัวปลีใส่ใบชะพลู ฝนตกรุมๆ กินกับข้าวเหนียว ขาวนวลอ่อนอุ่น เป็นอาหารรสชาติสะอาด


 


หรือจะแกงอี่ฮวก (ดูเหมือนภาษาทางการเรียกว่า ลูกอ๊อด) ในฤดูฝน ก่อนการปักดำ ระยะที่โคลนในนากำลังอ่อนนุ่ม เหลวกำลังดี มีน้ำซึ่งสะท้อนท้องฟ้าแปลบปลาบ กบเขียดผสมพันธุ์และวางไข่แล้วออกลูกหลานเป็นสัตว์โลกน่ารัก นำมาแอบ อ่อก อบ หรืออ่อม อร่อยทุกประการ


พูดแล้วน้ำลายกระเซ็น


แต่น้องสาวเมินหน้า


 


 "เค้าไม่ชอบกิน" เธอว่า


 "โอเค ๆ" ฉันรีบตอบเอาใจ กลัวเธอไม่เข้าครัว ฉันเองจะเดือดร้อน


 "พี่จำได้หรือเปล่า สมัยก่อนที่แม่ไปยกยอเวลาน้ำนอง"


ฉันพยักหน้าทันที เรื่องนี้ไม่เคยต้องหยุดคิด มันอยู่ในความทรงจำ


 "อยากกินปลาจี่แบบนั้น"


น้องสาวพูดเรียบๆ แล้วเธอก็เดินต่อไปโดยเงียบงัน


 


/ / / / /


 


ฉันควรจะงง แต่ก็ไม่งง จะงงได้อย่างไร บางสิ่งบางอย่างอันฝังตรึงตลอดกาล เป็นรากไม้แข็งแรงที่ชอนไชอยู่ในหัวใจ หยัดยืนเข้มแข็ง ผลิดอกกระจิดริด สะพรั่ง หอมอวลชั่วนิรันดร์


 


ฉันไม่มีทางลืม (เหมือนน้องคงเช่นกัน) วันที่ฝนตกจนเป็นฝ้าขาว โลกคล้ายกลายเป็นสีขาว ปุกปักๆ จักๆ แจ่บๆ ฉันว่าฝนมีหลายเสียง แล้วแต่จะตกกระทบอะไร ซึ่งในวันอย่างนั้น ฉันกับน้องเคยนั่งกอดแขนกันอยู่บนบันไดขั้นบนสุด รอฟังเสียงฝีเท้าแทรกฝนเข้ามา


 


ภาพที่เราอยากเห็น คือแม่ในชุดรุ่มร่าม ผ้ายางกันฝนราคาถูกที่สุด แต่เหนียวที่สุด ห่มในฤดูร้อนคงเป็นไข้ตาย แต่ในฤดูฝน ที่ซึ่งน้ำหลากนองล้นตลิ่ง กินอาณาบริเวณมาถึงใต้ถุนบ้านของเรา ในชุดกันฝนที่ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะแม่เปียกปอนไปทั้งตัว ผมเปียก เสื้อเปียก ตัวเปียก มือเท้าซีดด้วยความเย็น มีแต่ดวงตาเจิดจ้าสุดใจ


 


เราชอบภาพนั้น แม่ที่ยิ้มจนแก้มแทบปริ กระวีกระวาดย่างเท้าขึ้นเรือน เรียกเราสองคนให้วิ่งแข่งสุดชีวิต เข้าไปล้อมรอบกะละมังสังกะสี เสียงดังซ่า! แม่เทปลาออกจากตะข้อง มันดิ้นกันพรวดพราด ครีบขาว เกล็ดขาว น้ำขาว หรือกะละมังขาว ทุกอย่างพร้อมใจกันขาว สะท้อนเข้าตาพรายพร่าง


 


แม่ยิ้ม ยิ้มแล้วยิ้มอีก ก่อนจะหันเก้าอี้ไม้เตี้ยๆ ไปอีกด้าน เสียงเป่าลมฟู่ๆ สองสามครั้ง เปลวสีส้มก็แลบแปลบปลาบ กลิ่นควันไฟจากฟืนชิ้น ท่ามกลางฝนยังพรำ ปุกปัก เปาะแปะ แม่หันกลับมาอีกที มือที่ซีดขาวยื่นเข้าไปหาปลาเคราะห์ร้าย


 


ไม่นานนัก กลิ่นอันหวนหวนก็ตลบอบอวลไปทั้งบ้าน น้องหน้าบาน ฉันหน้าบาน แม่ก็หน้าบาน กระทั่งพ่อที่หาวหวอดๆ ลงจากชั้นบนของบ้าน (กำลังพยากรณ์ฤกษ์ยามวิวาห์ให้ใครสักคน) ยังสูดจมูกฟุดฟิด


 


พ่อพูดเสมอว่า พ่อไม่ชอบกินปลา


 "ก้างติดคอตอนเด็ก" แม่ว่า "เลยฝังใจ"


 


แต่ในฤดูฝนนั้น หรือหลายๆ ฤดูฝนที่ผันผ่านเราไป ฉันว่า อีกภาพที่เราจดจำคือพ่อซึ่งลงนั่งแย่งปลาเรากิน!


แม่หัวเราะ พ่อก็หัวเราะ เอ่อ เราสองพี่น้องก็หัวเราะแบบฝืดๆ นะ    -   -’’


 


 


            / / / / /


 


เราเดินไปได้ครึ่งทางแล้ว จู่ๆ น้องก็หยุดเท้า พูดว่า


 "คิดถึงแม่นะ"


 "ฮื่อ" ฉันตอบ "ตกลงเราจะกินไรกันดี"


น้องทำหน้าเบื่อหน่ายมาก แต่แล้วเธอก็หัวเราะเบาๆ


 "เราคงไม่มีวันได้กินปลาจี่แบบนั้นอีกแล้ว"


 "แน่นอน" ฉันตอบ พลางกระหวัดถึงปลาทับทิม ปลากะพง ปลาแซลมอน ปลาซาบะ และปลาอะไรต่อมิอะไรอีกมากที่อวบอัดแน่นตึง ตัวโต (เปื่อยยุ่ยก็มี) ไม่มีปลาตัวใดกะจิดริดจ้อยร่อย แบบบาง ก้างเยอะ แต่ทิ้งรสชาติอยู่เต็มหัวใจ


...แค่ปลาตะเพียนธรรมดา


 


/ / / / /


 


 "ผัดถั่วฝักยาวก็แล้วกัน"


น้องสาวพูด เสียงจริงจังขึ้นอีกนิด


 "รีบๆ หน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวของจะหมดเสียก่อน แล้วนั่นพี่ถ่ายรูปอะไร กดกล้องลงพื้นตลอด"


"เดี๋ยวก็รู้"


ฉันตอบ


แล้วฉันก็กดชัตเตอร์อีกครั้ง เก็บภาพสะท้อนบนผิวน้ำบอบบาง ซึ่งอีกครู่เดียวคงจางหายไร้ร่องรอยเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ สุดแสนธรรมชาติ ชั่วเสี้ยวเวลาที่ท้องฟ้าและสรรพสิ่งอันอยู่สูง ชะลอลงพื้นถนน ดั่งลวงแต่จริง จริงแต่ก็เป็นมายา


 


ดั่งความทรงจำ.


 


.........................................................................................................................................