Skip to main content

บันทึกถึงพ่อ

คอลัมน์/ชุมชน

 


เรื่อง-ภาพ : วาดวลี


 



 


กรกฎา ๒๕๓๓



ผู้ชายคนนี้แอบจ้องหน้าฉันมาได้กว่า ๑๐ นาทีแล้ว


........................................


 


ดูเหมือนมีอะไรจะพูด


แต่ก็เดินเลี่ยงๆ ออกไปอยู่ริมหน้าต่าง


นั่งลงบนเก้าอี้สีน้ำตาลเข้ม รื้อสมุดเล่มใหญ่ๆ ของเขาออกมา


ในนั้นมีภาษาที่ฉันไม่เข้าใจ ดูเหมือนมีบทกวีพื้นบ้านเขียนไว้ก็หลายบท


ฉันมองตาม แล้วก็เลื่อนเก้าอี้ไปอยู่ใกล้ๆ


 


เท้าคางกับโต๊ะ เอียงคอ


ใช้สายตามองไปทั่วตัวเขา


 


เขาไว้ทรงผมไม่เคยเปลี่ยน


ผมรองทรงสั้นๆ ดูแล้วก็สบายใจไปอีกอย่าง ทั้งที่เคยนึกว่า เขาน่าไว้ผมยาวดูบ้าง


ริมฝีปากของเขาเหมือนกับฉันไม่มีผิด แต่รอยตีนกาชี้ออกไปทางหางคิ้ว


นี่คงเป็นสิ่งแตกต่างระหว่างเราชัดเจนนัก


มันคือวันเวลาของการเดินทาง เพื่อจะได้พบกับอะไรมากมาย


สักวันเราจะได้เล่าให้กันฟัง


 


น่าเสียดายที่เรากลับไม่ค่อยได้เล่าอะไรให้กันฟัง


 


การได้เจอกับเขา นานๆที มีข้อดีอยู่สองสามอย่างคือ


ได้เรียนรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่เราก็ไม่ลืมกัน


บางอย่างช่วยทำให้ลืม บางอย่างช่วยทำให้จำ คงจะเหมือนคนอื่นๆ ในชีวิตเรา


ผิดกันแต่ว่า กับเขา.. ชั่วชีวิตนี้ฉันคงไม่มีวันลืม และจะไม่มีวันเลิกรักกัน


 


"จะให้อ่านอะไรเหรอ" ฉันถาม


"ดวงชะตา..ปีนี้เราอายุเท่าไหร่แล้ว"


"15  ปี"  ฉันตอบน้ำเสียงราบเรียบ


"อืม..." เขาทำหน้าตาจริงจัง มุมปากยิ้มนิดๆ ก่อนจะหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด


ไม่นาน มือขวาก็ทำหน้าที่เปิดหน้ากระดาษ เห็นภาพวงกลมล้อมรอบไปด้วยลักขณา ราศี


ฉันมองไปหารูปกระต่าย ปีเถาะอยู่ตรงมุม 3 นาฬิกาของวงกลม


 


"ทายว่ายังไงบ้าง"


ยังไม่มีเสียงตอบ แต่ว่าใบหน้าของเขาดูเปลี่ยนแปลง ก่อนจะพูดอะไรอีก


เขากลับปิดหน้ากระดาษนั้นลงไป พริบตาเดียว สมุดเล่มนั้นก็ถูกหยิบไปเก็บไว้ในลิ้นชัก


"ไม่มีอะไรมากหรอก..ชะตาเขาบอกว่าชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยนแปลง"


"อืม แล้วเลวร้ายไหม" ฉันรีบถาม


"ไม่เลวร้ายหรอก อยู่ที่ว่าเราจะรับได้ไหม"


 


ตีนกาของเขาชี้ทางไปหาหางคิ้วที่กำลังขมวด ความเครียดในสายตาไม่อาจปิดบังซ่อนเร้น


แม้เราไม่เจอกันทุกวัน แต่ฉันก็ยังไม่ถูกตัดขาด ยังจำได้ว่าเขาหน้าตาเขาเป็นอย่างไร ยามต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้


 


"พอจะรู้ไหมนะ อะไรต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง"


"พ่อจะแต่งงานใหม่ อาทิตย์หน้า ..เขาเป็นคนดี ไม่ได้สวยอะไร แต่น่ารัก คิดว่าเราอยู่ด้วยกันได้แน่ๆ "


พ่อพูดรวดเร็วไม่เว้นจังหวะ.. ราวกับกลัวว่าจะพูดไม่จบ


 


ฉันมองท้องฟ้าออกไปทางหน้าต่าง สีขาวจัดไม่มีความหมายกับชีวิต


เหมือนกับว่า มีสิ่งที่ต้องประคับประคองให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเสียงหัวใจเต้นหรือสิ่งที่อยู่ในตา


แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้น อยู่ข้างหน้าต่างหาก


 


"พ่อแต่งงานเถอะ อย่ากังวลเลย หนูโตแล้ว"


ฉันเอื้อมมือไปจับแขนพ่อเอาไว้ ส่งยิ้มให้เขามั่นใจ


เราสวมกอดกันเบาๆ สัญญากันไว้ว่าพรุ่งนี้เราจะไปทำบุญให้แม่ด้วยกัน


 


แม้จะรู้ว่า..ถัดจากวันนั้นเป็นต้นมา เราต้องจัดบ้านใหม่


เหมือนการจบละครเรื่องแรก รื้อฉาก จัดสถานที่ เปลี่ยนตัวละคร


เก็บอุปกรณ์เดิมๆในเรื่องเอาไปทิ้งเอาไปซ่อน


 


ในบ้านหลังไม้สีน้ำตาลหลังเดิม


ความรักใหม่กำลังเกิดขึ้นแล้ว


และความรักเก่า บางทีก็อาจจะตายไปแล้ว


.................................................................................................................


 



 


ต้นกรกฎา ๒๕๔๘


 


ฉันแอบชำเลืองมองหน้าเขาได้เกิน ๑๐ นาทีแล้ว


อยากจะพูดอะไรสักคำ ..แต่ไม่รู้จะเอ่ยคำไหนก่อน


........................................................................


 


เดินเลี่ยงไปนั่งบนเก้าอี้สีน้ำตาล รู้สึกโยกเยกเล็กน้อย


หวังว่าคงไม่หักง่ายๆ น้ำหนักเรามากขึ้นกว่าเดิมนี่นะ


 


พ่อยังไว้ผมทรงเดิม  ไม่มีผมหงอกแซม


เขาย้อมผมให้ดำขลับเสมอ ตัดรองทรงไม่มีเส้นผมใดนอกระเบียบออกมา


 


เขายิ้มกว้างด้วยดวงตา นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว


มองมายังลูกสาวอย่างใจเย็น


 


สมุดเล่มนั้นถูกดึงมาอีกครั้ง..จากลิ้นชัก


สมุดเล่มเดิม ปกสีน้ำเงินซีดจาง.. กระดาษข้างในเริ่มเหลืองกรอบ


ภาษาที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี


ภาษาบาลีพื้นบ้านที่เคยเรียนสมัยประถม มาถึงตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว ว่าออกเสียงอย่างไร


 


กะ ขะ ก๊ะ คะ งะ


พ่อเคยสอนให้อ่านตัวคำเมืองเชียงใหม่


เวลาเขียนชื่อตัวเองแล้วฉันว่ามันมีเสน่ห์ดี เขียนคำว่า กานต์ ได้สั้นนิดเดียว


 


"ปีนี้เราอายุเท่าไหร่แล้ว"


"30 ปี ค่ะ"


ฉันตอบเสียงราบเรียบ ..นอกหน้าต่างมีฟ้าสีฟ้าจัด ตัดกับหางนกยูงของบ้านป้าน้อยหลังถัดไป


 


"พ่อจะดูฤกษ์แต่งงานอีกหรือเปล่า......."


ฉันพูดขำๆ พ่อก็ยิ้มขำๆ


"เปล่า..กะว่าจะดูไว้ให้ลูกสาวแทน "


"อืม พ่อสอนให้ดูได้เองไม่ได้เหรอ..สงสัยยังไม่ได้แต่งง่ายๆ ยังหาเจ้าบ่าวไม่ได้.."


"อืม ดีดี..ไม่ต้องรีบร้อนหรอก"


 


ฮา..ฟังแล้วนึกขำในใจ


วันนั้นดูชะตาราศีเกือบทั้งวัน ถามพ่อเรื่องงาน ความรัก ชีวิต การเรียน


สารพัดสารพันจะถาม ก่อนจะมีเสียงเรียกจากผู้หญิงวัยกลางคน


 


"พ่อลูก..มากินข้าวได้แล้ว..."


เธอเรียกฉันเบาๆ คงกำลังง่วนอยู่ในครัว


 


ผู้หญิงของพ่อ คนที่ฉันไม่เคยรัก ไม่เคยผูกพัน..


แต่ฉันก็อยากขอบคุณ บางสิ่งบางอย่างที่ผ่านมา


ในสิบปีที่ผ่านมานั้น..


--------------------------------------------------------------------------