จรรยาบรรณแฮกเกอร์สู่ภูมิปัญญาชาวเน็ต
คอลัมน์/ชุมชน
ย้อนหลังไปเมื่อกว่าสามปีที่แล้ว กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศหรือที่เรียกกันว่ากระทรวงไอซีทีได้ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยและสร้างความแข็งแกร่งกับภาครัฐและเอกชน[1]
ทันทีที่เว็บไซต์ของกระทรวงเปิดดำเนินการ เว็บไซต์นี้ก็ถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์นิรนามที่เจาะระบบเข้าไปเปลี่ยนแปลงเว็บไซต์ของไอซีทีจนกลายเป็นเว็บลามก มิหนำซ้ำยังได้เปลี่ยนแปลงภาพรัฐมนตรีประจำกระทรวงเป็นรูป "ควาย" อีกด้วย [2] และกว่าทีมผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงจะสามารถแก้ไขได้ก็กินเวลาถึงหลายอาทิตย์ สร้างความอับอายให้กับทางกระทรวงเป็นอย่างยิ่ง
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทางกระทรวงไอซีทีจึงได้เร่งปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทว่ามาเมื่อเดือนพฤษภาคมศกนี้ เว็บไซต์ของไอซีทีก็ยังไม่วายถูกจู่โจมอีกจนได้
คราวนี้ แฮกเกอร์นิรนามเข้าไปแก้ไขข้อมูลเว็บกระทรวงในลักษณะล้อเลียนเสียดสี อาทิเช่น รมว.ไอซีทีเตรียมจัดตั้งชมรมเว็บโป๊โลก , สั่งจองคอมพิวเตอร์ราคาถูกมากๆจัดส่งชาติหน้า ฯลฯ เป็นต้น ไม่เพียงเท่านั้น แฮกเกอร์ยังได้เที่ยวแจกจ่ายรหัสผ่านให้กับผู้คนทั่วไปให้สามารถเข้ามาร่วมวงก่อกวนเว็บไอซีทีได้อีกด้วย ยังผลให้เจ้าหน้าที่กระทรวงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโค้ดและรหัสผ่านเว็บใหม่ทั้งหมด[3]
นายแพทย์
เป็นไปได้หรือไม่ว่า แฮกเกอร์เหล่านี้ส่วนหนึ่งคือสมาชิกของชุมชนชาวอินเตอร์เน็ตที่ไม่พอใจกับการพยายามจัดระเบียบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีมากกว่าเพียงการปิดเว็บโป๊เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสาร การปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน เพียงเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับภาครัฐและเอกชนที่ต้องการผูกขาดโลกไซเบอร์เท่านั้น แท้จริงแล้วพวกเขาเป็นใคร เหตุใดจึงเก่งกล้าสามารถถึงเพียงนี้
พิวเตอร์ส่วนบุคคลและเครือข่ายอินเตอร์เน็ตขึ้น พวกเขาเรียกตัวเองว่าแฮกเกอร์[5]
1.คอมพิวเตอร์เป็นทรัพย์สินสาธารณะที่ทุกคนสามารถาใช้ได้ แก้ไข ปรับปรุงและทดลองได้
2.ข้อมูลความรู้เป็นของสาธารณะไม่ใช่ของส่วนบุคคล ไม่ควรมีราคา
3.ไม่ไว้วางใจผู้มีอำนาจ ส่งเสริมการกระจายอำนาจ
4.แฮกเกอร์ต้องถูกตัดสินจากความสามารถของเขา ไม่ใช่ด้วยวุฒิการศึกษา วัยวุฒิ ตำแหน่งหรือเชื้อชาติ
5.ทุกคนล้วนมีสิทธิในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามด้วยคอมพิวเตอร์
6.คอมพิวเตอร์สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นได้
พวกเขาเรียกหลักการเหล่านี้ว่า "จรรยาบรรณของแฮกเกอร์"[6]
อินเตอร์เน็ตจากกำเนิดถึงปัจจุบัน
แฮกเกอร์สร้างระบบอินเตอร์เน็ตขึ้นเพื่อให้เป็นพื้นที่สาธารณะอย่างแท้จริงที่ทุกคนสามารถใช้สร้างสรรค์ ทดลอง และจัดการประโยชน์ส่วนรวมร่วมกันเองอย่างเสรีและเท่าเทียมโดยปลอดจากการควบคุมใดใดไม่ว่าจะเป็นจากอำนาจรัฐหรือเอกชน
ดังนั้นพวกเขาจึงออกแบบระบบอินเตอร์เน็ตด้วยโครงสร้างที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจ คือ เป็นระบบเปิด (open source) ที่มอบอำนาจการจัดการทั้งหมดให้กับผู้ใช้ไม่ใช่แต่เพียงผู้เชี่ยวชาญ เชื่อมต่อกันเองได้โดยตรง (peer to peer) พร้อมกับลดบทบาทความสำคัญของเครือข่ายที่เชื่อมต่อลง (end to end principle)
ในช่วงเริ่มต้นนั้น เครือข่ายอินเตอร์เน็ตจำกัดอยู่แต่เพียงนักออกแบบคอมพิวเตอร์มืออาชีพเท่านั้น จวบจนในปี 2517 เมื่อ "อัลทาร์" ชุดอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่นแรกของโลกที่ให้ผู้ใช้สามารถประกอบและดัดแปลงได้เองเริ่มออกวางขาย ทำให้เกิดประชากรนักออกแบบคอมพิวเตอร์มือสมัครเล่นขึ้นอีกมากมาย และพวกเขาก็ได้กลายเป็นสมาชิกส่วนสำคัญของชุมชนอินเตอร์เน็ตในเวลาต่อมา[7]
หนึ่งในสมาชิกชมรมนักออกแบบคอมพิวเตอร์มือสมัครเล่นในเวลานั้นคือ นาย
กล่าวได้ว่านาย บิล เกทส์เป็นผู้ละเมิดจรรณยาบรรณของแฮกเกอร์เป็นคนแรก ด้วยการประกาศกับโลกว่า จากนี้ไป โปรแกรมคอมพิวเตอร์หรืออีกนัยหนึ่งข้อมูลความรู้ต้องเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลไม่ใช่ของส่วนรวมอีกต่อไป หลังจากนั้นมา ก็มีนักออกแบบคอมพิวเตอร์อีกมากมายที่ดำเนินตามแนวคิดนี้และเช่นกัน หลายคนก็ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับโลกไปในที่สุด[9]
จากนั้นเป็นต้นมา สงครามแย่งชิงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยมา ฝ่ายหนึ่งก็คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของแฮกเกอร์ที่ต้องการปกป้องรักษาโลกไซเบอร์ไว้ให้เป็นของส่วนรวม อีกฝั่งคือ ผู้ที่เห็นว่านี่คือโอกาสอันชอบธรรม ในการตักตวงอำนาจและผลประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ใหม่ในโลกไซเบอร์ที่ยังไม่มีใครเจ้าของ
สถานการณ์สงครามไซเบอร์ในปัจจุบัน
สงครามระหว่างสองค่ายความคิดนี้ ยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงในอนาคตอันใกล้นี้ และมิได้จำกัดวงอยู่แต่เพียงภายในโลกไซเบอร์เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยการต่อสู้กันภายนอกในรูปแบบอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นทางกฎหมาย การเมือง ธุรกิจ การโฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ เป็นต้น
แม้ภายนอกโลกไซเบอร์ ฝ่ายที่ต้องการเข้าไปจัดสรรผลประโยชน์และรวบอำนาจเครือข่ายอินเตอร์
เน็ตจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในแทบทุกทางก็ตาม แต่ในโลกไซเบอร์ เพราะโครงสร้างแบบกระจายอำนาจที่แฮกเกอร์รุ่นบุกเบิกได้สร้างไว้ให้เป็นมรดกตกทอดมาจนปัจจุบันผู้คนทั่วโลกจึงได้อาศัยโครงข่ายอินเตอร์เน็ตในการเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน ช่วยเหลือและรวมกลุ่มกันเกิดเป็นเครือข่ายทางสังคมที่หลากหลายแพร่กระจายไปทั่วทั้งโลก เครือข่ายทางสังคมที่จัดการตนเองได้อย่างทรงประสิทธิภาพนี้เอง คืออาวุธอันทรงพลังของชุมชนอินเตอร์เน็ตที่เหล่าผู้อีอำนาจไม่อาจยับยั้งได้
อินเตอร์เน็ตกับพลังของเครือข่ายทางสังคมที่จัดการกันเอง
วิวัฒนาการทางคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้นำไปสู่การขยายตัวของเครือข่ายทางสังคมอันเป็นคุณประโยชน์อย่างยิ่ง ปรากฏการณ์นี้เกิดจากกฎเกณฑ์สำคัญ 3 ข้อ คือ 1.ยิ่งคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ราคายิ่งถูกลง (
ยิ่งไปกว่านี้ ผู้คนทั้งโลกก็ได้อาศัยการติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเตอร์เน็ตในการสร้างเครือข่ายทางสังคมใหม่ๆเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย พวกเขาสามารถช่วยเหลือร่วมมือกันสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับกันและกันได้มากขึ้นอีกเป็นทวีคูณ 3. ทุนทางสังคมหรือประโยชน์ที่เกิดจากเครือข่ายสังคมใหม่ๆเหล่านี้ เพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่เท่ากับสองยกกำลังจำนวนผู้ใช้อินเตอร์เน็ต (Reeds Law) คือ ถ้ามีผู้ใช้เพิ่มขึ้น 10 คน ประโยชน์ที่ได้รับจากเครือข่ายทางสังคมจะเพิ่มขึ้นถึง 2 ยกกำลัง 10 หรือ 1,024 เท่าทีเดียว[13]
ปัจจุบัน คาดว่ามีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตอยู่ราว 6.4 ล้านคนทั่วโลกและเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเฉลี่ยที่ 160% ต่อปี[14] นั่นหมายความว่า ไม่เพียงแต่อินเตอร์เน็ตจะได้สร้างทุนสะสมทางสังคมไว้อย่างมหาศาลแล้ว เท่านั้น( 2 ยกกำลัง6.4ล้าน) แต่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่ไม่มีแนวโน้มชะลอตัวอีกด้วย
การจัดการกันเองกับภูมิปัญญาชาวเน็ต
ดังที่กล่าวมาแล้ว ทุนทางสังคมที่สร้างสรรค์ขึ้นอย่างมหาศาลจนมิอาจประเมินค่าได้นี้ เกิดจากอิสรภาพในการจัดการกันเองด้วยผู้คนจำนวนมหาศาลและการแบ่งปันข้อมูลความรู้กันอย่างเสรี ในพื้นที่สาธารณะของโลกไซเบอร์
ตรงข้าม การจัดการที่อาศัยผู้เชี่ยวชาญพียงไม่กี่คน ที่ต้องทำงานอย่างขาดอิสระภายใต้กรอบของการควบคุมและสั่งการและเต็มไปด้วยระเบียบกฎเกณฑ์สารพัด มิหนำซ้ำถูกระบบลิขสิทธิ์เอกชนที่มองเห็นข้อมูลความรู้เป็นเพียงทรัพย์สินส่วนบุคคล เป็นตัวขวางกั้นจนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลความรู้ที่ต้องการได้ ภายใต้การจัดการเช่นนี้ แทบไม่มีโอกาสที่จะเกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นได้เลย
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่เป็นที่ประหลาดใจว่า เหตุใดชาวแฮกเกอร์จึงมีความเก่งกล้าสามารถสูงกว่าทีมผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงไอซีทีหลายเท่าตัว
ภูมิปัญญาชาวบ้านสู่ภูมิปัญญาชาวเน็ต
เป็นที่น่าสลดใจที่สังคมไทยวันนี้ถูกทำให้เข้าใจว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่นนั้นเป็นเพียงความรู้และทักษะในการผลิตและการบริการ อาทิเช่น การปลูกข้าวหอมมะลิ นวดแผนโบราณ ทำแชมพูสมุนไพร และผลิตข้าวหลามรสเด็ดส่งโอทอป เท่านั้น ทั้งที่จริงแล้ว ความรู้และทักษะเหล่านี้เป็นเพียงผลพวงที่เกิดจากภูมิปัญญาในการจัดการทรัพยากรร่วมกันด้วยตนเองโดยปราศจากการแทรกแซงและปิดกั้นจากอำนาจส่วนกลางต่างหาก และความรู้ความสามารถในการจัดการตนเองนี้แหละคือภูมิปัญญาชาวบ้านที่แท้จริง
ในปี 2533 นางเอลีนอร์ ออสตรอม นักสังคมวิทยาได้สรุปบทเรียนจากการศึกษาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของชุมชนในประเทศต่างๆ ที่สามารถจัดการทรัพยากรร่วมกันเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น ป่าชุมชนในญี่ปุ่น การจัดการพื้นที่เลี้ยงสัตว์ในสวิตเซอร์แลนด์ และกลุ่มจัดการเหมืองฝายในสเปนและฟิลิปปินส์ เธอพบว่า ชุมชนเหล่านี้ล้วนมีองค์ประกอบที่สำคัญคล้ายคลึงกัน คือ 1.มีขอบเขตของชุมชนที่ชัดเจน 2. ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎเกณฑ์ของชุมชนในข้อใดก็สามารถมีบทบาทในการแก้ไขกฎข้อนั้นได้ 3. มีระบบการติดตามความประพฤติของสมาชิกที่ชุมชนเป็นผู้ทำ 4. มีระบบการลงโทษสมาชิกที่หนักเบาตามความผิด 5. สามารถแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างกันได้เอง[15]
นานมาแล้ว ได้เกิดแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นเพียงสัตว์ชนิดหนึ่งที่โง่เขลาและเห็นแก่ตัว หากปล่อยให้อยู่กันเองตามลำพัง สุดท้ายผู้คนจะฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงทรัพยากรส่วนรวมไปจนไม่เหลือหรอ ดังนั้นจะต้องมีผู้ที่มีอำนาจคอยปกครอง ต่อมาแนวคิดนี้ก็ได้พัฒนากลายเป็นแนวคิดรัฐชาติที่มอบอำนาจในการกำหนดคุณค่าและจัดสรรผลประโยชน์และทรัพยากรส่วนรวมทั้งปวงให้แก่รัฐทำแทนสังคม
ถึงวันนี้ ในพื้นที่ต่างๆทั่วโลก องค์ประกอบอันสำคัญในการจัดการกันเองของชุมชนได้ถูกทำลายลงจนแทบไม่มีหลงเหลือ ทว่าในโลกไซเบอร์ เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้เปิดโอกาสขึ้นใหม่อีกครั้งให้กับผู้คนทั่วไปได้เรียนรู้ที่จะจัดการกันเอง และครั้งนี้ด้วยขนาดของเครือข่ายผู้คนและข้อมูลความรู้ที่กว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมทั่วทั้งโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ พวกเขาก็ได้ร่วมกันพัฒนาภูมิปัญญาชาวบ้านให้กลายเป็นภูมิปัญญาชาวเน็ตไปในที่สุด
นานาตัวอย่างภูมิปัญญาชาวเน็ต
แสลชดอท (www.slashdot.org) เป็นเว็บหนึ่งที่สามารถพัฒนาการจัดการตนเองได้อย่างดีเลิศ เว็บนี้เป็นเว็บที่จัดทำเวทีสนทนาในหัวข้อต่างๆตั้งแต่เกมคอมพิวเตอร์ไปจนถึงการเมืองระหว่างประเทศ ในปี 2544 เว็บนี้มีสมาชิกที่ลงทะเบียนถึงกว่า 300,000 คน[16] สแลชดอทใช้ระบบกรรม (Karma) ในการประเมินกันเองโดยสมาชิก ผู้เข้าชมเว็บโดยไม่ลงทะเบียนจะมีคะแนนกรรมเท่ากับศูนย์ ถ้าลงทะเบียนสมาชิกจะเป็น + 1 ข้อความที่สมาชิกเห็นว่าดีที่สุดเจ้าของจะได้รับคะแนน +5 และเลวที่สุดจะได้ -1 สมาชิกที่มีกรรมดีสะสมมากก็สามารถมีสิทธิ์ในเว็บมากขึ้น และถ้ามีกรรมดีมากพอก็สามารถเป็นผู้จัดการเว็บได้ เมื่อได้เป็นแล้วแต่ไม่สะสมกรรมดีใหม่ สิทธิ์ในการจัดการก็จะหมดไป[17]
เว็บจีนู (www.gnu.org) เป็นเว็บที่ก่อตั้งขึ้นโดยแฮกเกอร์รุ่นบุกเบิกเพื่อสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมในระบบเปิด (open source) โดยใช้วิธีจัดการกันเอง โปรแกรมเหล่านี้จะได้รับตรา "ลิขสิทธิ์สาธารณะ" (general public license) ซึ่งหมายความว่า ห้ามจดลิขสิทธิ์ส่วนบุคคล ยินดีให้คัดลอก เผยแพร่และปรับปรุงแก้ไข โปรแกรมลีนุกซ์ (Linux) อันโด่งดังก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมที่มีตราลิขสิทธิ์สาธารณะนี้
เว็บฟรีเน็ต (freenet.sourceforge.net ) มีเป้าหมายในการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการเข้าถึงข้อมูล ผู้คนทั่วไปสามารถส่งความคิดเห็นหรือข่าวสารข้อมูลที่เกรงว่าจะได้รับการเซ็นเซอร์ไปยังเว็บนี้ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำไปแยกเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลของบรรดาผู้บริจาคที่มีอยู่ทั่วโลก ด้วยวิธีนี้ผู้กุมอำนาจก็ไม่มีทางจะค้นหาแหล่งที่มาของข้อมูลเหล่านั้นเจอ เว็บนี้ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ในประเทศที่มีการควบคุมข้อมูลข่าวสารอย่างหนัก อาทิเช่น จีน และประเทศในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ยังมีเว็บอื่นๆอีกมากมายที่อาศัยวิธีการจัดการกันเองในการบริหาร อาทิเช่น อีเบย์ (www.ebay.com) เว็บตลาดนัดที่ได้รับความนิยมสูงสุดของโลก อเมซอน (www.amazon.com)เว็บขายหนังสือและสินค้าอื่นๆที่ให้ตัวสมาชิกเองเป็นผู้ช่วยประเมินและแนะนำสินค้ากันเอง ฯลฯ
สรุป
ภูมิปัญญาของชาวบ้านในการจัดการกันเองที่ได้ถูกลบทิ้งออกจากความทรงจำของสังคมโลกไปแล้วนั้น มาถึงเวลานี้ได้กลับมางอกเงยผลิดอกออกผลใหม่อีกครั้งในพื้นที่สาธารณะของโลกไซเบอร์ พื้นที่ที่แฮกเกอร์รุ่นแรกสร้างสรรค์ไว้ให้เป็นของทุกคน และแม้กลุ่มมหาอำนาจทั้งในระดับประเทศและระดับโลกจะทุ่มเทเพื่อทำสงครามแย่งชิงพื้นที่แห่งนี้ไปเป็นของตนให้จงได้ แต่ก็ยังหาสัมฤทธิ์ผลไม่ ชุมชนชาวเน็ตที่ปกครองตนเองไม่เพียงแต่ยังดำรงอยู่ แต่ทว่ากลับวิวัฒน์และเติบโตต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ผลสำเร็จของพวกเขาคือข้อพิสูจน์ว่า ทางเลือกมิได้มีแต่เพียงว่า จะเลือกใครที่เลวน้อยที่สุดมาปกครองเท่านั้น ทว่ายังมีอีกทางเลือกหนึ่งที่เหมาะสมกว่าทางเลือกเหล่านั้น นั่นก็คือ การจัดการกันเอง