เส้นทางของ "นกพิราบ"
คอลัมน์/ชุมชน
"สารัตถะแห่งชีวิตของหนังสือพิมพ์อาจจะมีอยู่หลายแห่ง
แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าคำนึงมากที่สุดคือความเปนอิสระ
เพราะว่าถ้าขาดสิ่งนี้เสียแล้ว หนังสือพิมพ์ก็จะเปนหนังสือพิมพ์ไปไม่ได้
หรืออย่างน้อยก็จะเปนหนังสือพิมพ์ที่ดีไม่ได้"
กุหลาบ สายประดิษฐ์
- 1 -
ประโยคของกุหลาบ สายประดิษฐ์ นักคิด นักเขียน และ "นักหนังสือพิมพ์" ผู้ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมและซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพมากที่สุดท่านหนึ่งเท่าที่เมืองไทยเคยมี แล่นเข้ามาในหัวใจผมเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพราะประโยคนี้ได้ย้ำ "สามัญสำนึก" บางอย่างต่อนักหนังสือพิมพ์ และนักเขียนรุ่นหลังๆ ที่รู้จักหรือเคยอ่านงานของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เสมอมา
หลายวันก่อน บทความกึ่งสารคดีชิ้นหนึ่งของผมถูกติงจากกองบรรณาธิการแห่งหนึ่งด้วยข้อหา "ข้อความพาดพิงผู้มีอำนาจ" อันสามารถส่งผลต่อพวกเขาในการให้คุณให้โทษในด้านงบประมาณเป็นต้น
ที่เรื่องนี้สำคัญยิ่งจนผมต้องนำมาเล่าสู่กันฟังก็เพราะ "กองบรรณาธิการ" แห่งนั้น ล้วนประกอบด้วยคนหนุ่มสาว ผู้ซึ่งประเทศชาติและวงการสื่อมวลชนในอนาคตจำเป็นต้องฝากความหวังไว้ที่พวกเขา โดยเฉพาะการทำหน้าที่ "Watch Dog" หรือ "สุนัขเฝ้าบ้าน" ที่ต้องคอยเห่าหอนยามโจรและพวกนักการเมืองขี้ฉ้อขึ้นขโมยทรัพย์สินและทำร้ายคนในบ้านที่ชื่อประเทศไทย
บัดนี้ผมพบว่า คงหวังยากเสียแล้ว
เพราะพวกเขาในขณะนี้ ถึงแม้จะทำสื่อในระดับฝึกหัดก็ยังมีการเซ็นเซอร์ตัวเอง ! การกระทำเช่นนั้นอันตรายเหลือเกิน มันสะท้อนปรากฏการณ์บางอย่างว่าคนทำสื่อที่เซ็นเซอร์ตัวเองนั้นไม่ได้มีแค่ระดับชาติเท่านั้น ระดับฝึกหัดก็ยังเกิดขึ้น
พวกเขากลัวว่า "การพูด คิด แสดง หรือแถลงสิ่งที่ถูกต้อง" จะนำปัญหามาสู่ตนเอง เลยเลือกที่จะไม่ทำ น่าเป็นห่วงยิ่ง เมื่อพวกเขาซึ่ง "กลัวความจริง" นี้ต้องเป็นความหวังของผู้คนนับสิบล้านท่ามกลางความ "ฉ้อฉล" ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งในอนาคตก็คงยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น หากรัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงเน้นอำนาจเงินในการแก้ปัญหาทั้งหลาย
สังคมในปัจจุบันและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต กำลังต้องการสื่อที่เป็น "กระจก" บานใหญ่ที่สะท้อนในสิ่งที่ถูกต้อง รวมถึงเป็นเทียนส่องทางให้สว่างไสวกับผู้คนที่มีทีท่าจะหลงทางมากขึ้นเรื่อยๆ
- 2 -
พ.ศ. 2474 พระนคร
"หมาน เอ็งได้อ่าน มนุษยภาพ ใน ไทยใหม่ ไหมวะ" ชายร่างท้วมเอ่ยกลางวงสภากาแฟ
"อ่านแล้ว ขนลุกว่ะ"
"เออ แต่ตอนของเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์หายไปได้สักพักแล้ว"
หนังสือพิมพ์ยับยู่ยี่ถูกกางขึ้นอีก หมานหยิบกาแฟมาซดเฮือกใหญ่ ขณะที่ โกฉุย ชายร่างท้วมลุกไปชงเครื่องดื่มตามที่ลูกค้ารายใหม่สั่ง พลางเหม่อมองไปบนท้องถนนข้างหน้าด้วยสายตาครุ่นคิด
"เขาลือว่าจะมีการปฏิวัติคงจริงว่ะ โกฉุย" หมานส่งเสียงจากข้างหลัง และสั่งกาแฟอีกหนึ่งแก้ว
"นี่ข้าได้ยินว่า กลุ่มสุภาพบุรุษยกคณะออกจาก ไทยใหม่ กันหมด"
"อึมครึมไปหมด โกฉุย ข้าว่าต้องเกิดอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้รู้อย่างเดียวว่าเกิดมาจนปูนนี้ไอ้หมานก็เพิ่งเคยได้ยินคนเล่าถึง สิทธิ อะไรนั่นจริงจังก็ในหนังสือพิมพ์คราวนี้เอง"
* * * *
กุหลาบ สายประดิษฐ์ นักหนังสือพิมพ์ชั้นยอดที่ปฏิบัติภารกิจด้วยหลักวิชา
"อำนาจบรรดาลความนิยม นี่เปนความจริงมาแล้วแต่บรรพกาล ยังเปนอยู่ในปัจจุบันสมัย และจะยังเปน ต่อไปอีกจนกว่าโลกจะแตก แต่ท่านผู้อ่านพึงระลึกไว้ว่า สิ่งอันปรุงแต่งอำนาจขึ้นนั้นไม่คงที่ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย"
นี่คือข้อความบางส่วนที่กระแทกความรู้สึกชนชั้นนำและคนธรรมดาทั่วไปที่อ่านออกเขียนได้ใน พ.ศ. 2474 จากบทความ "มนุษยภาพ" ของกุหลาบ สายประดิษฐ์ แสดงถึงความแหลมคมแห่งหนามกุหลาบตั้งแต่เริ่มชีวิตนักหนังสือพิมพ์ไม่นาน หากเรานับปี 2466 เป็นจุดเริ่มต้น กุหลาบก็ทำงานในบรรณพิภพได้ 8 ปี แต่เพิ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์จริงจังได้เพียงปีเศษ (เริ่มทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ "บางกอกการเมือง" เมื่อ พ.ศ. 2473 และเพียง 3 เดือนก็ลาออกมาทำหนังสือพิมพ์ "ไทยใหม่" ปลายปีนั้นก่อนจะนำบทความเรื่องนี้ลง)
"ข้อเขียนเรื่อง มนุษยภาพ ชิ้นนี้คือ หลักบอกเขต ที่พิสูจน์ว่า หนามแห่งกุหลาบนั้น คมมาตั้งแต่ครั้งเบญจเพสแล้ว และหนามแห่งความ คม ดังกล่าวมีภาพรวมอยู่ที่ความเป็น นักหนังสือพิมพ์ชั้นหนึ่ง ที่ประกอบภารกิจด้วยหลักวิชา และมีจริยธรรมยึดเหนี่ยวอย่างมั่นคง " สุชาติ สวัสดิ์ศรี เคยกล่าวถึงกรณีนี้เอาไว้
กุหลาบ สายประดิษฐ์ ขณะอายุย่าง 26 ปี หนุ่ม หนุ่มมากๆ สำหรับคนๆ หนึ่งที่จะลุกขึ้นกล้าแสดงความเป็นธรรม ความถูกต้องท่ามกลางสังคมจารีตผ่านบทความ "มนุษยภาพ" ในหนังสือพิมพ์ ไทยใหม่ด้วยในใจของเขาเชื่อมั่นว่า "ความซื่อตรงคือความจริง ความจริงคือความซื่อตรง"
ไม่นานหลังจากนั้น นายทุนเข้ามาถือหุ้นในหนังสือพิมพ์ไทยใหม่พร้อมออกนโยบายห้ามวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กุหลาบในฐานะบรรณาธิการ พร้อมด้วยคณะนักเขียน "สุภาพบุรุษ" เพื่อนๆ ของเขา จึงมีมติ "ตบเท้า" ลาออกจากหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ทั้งคณะ ก่อเกิดความสั่นสะเทือนทั่ววงการหนังสือพิมพ์อย่างยิ่ง และการออกมาในครั้งนั้นก็ใช่ว่าจะมีทุนรอนอะไรมากมายเสียด้วย
สุภา ศิริมานนท์ ผู้นับถือกุหลาบ สายประดิษฐ์ ในฐานะอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า "คุณกุหลาบ สายประดิษฐ์ กับคณะยกคณะออกมา ไม่ใช่ว่ามีสตางค์เต็มกระเป๋า หากเป็นการออกมาด้วยความทระนงของคนหนุ่มผู้ยึดมั่นความเป็นธรรมแห่งสังคม ชิงชังในความเอาเปรียบของฝ่ายเจ้าของทุน และรังเกียจในความจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องของตัวแทนฝ่ายเจ้าของทุน ปรากฏว่าคุณกุหลาบตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า "ถังแตก" เราดีๆ นี่เอง จะกินกันเข้าไปก็แทบจะไม่มี
เป็น "ครั้งแรก" สำหรับคนหนุ่มและผองเพื่อนซึ่งกล้าต่อต้านความไม่เป็นอิสระของหนังสือพิมพ์ที่ตัวเองสังกัด ที่สำคัญคือ กล้าแสดงจุดยืนโดยไม่คำนึงเรื่องปากท้อง ซึ่งวิสัยคนทั่วไปสนใจเรื่องนี้มากกว่าความเป็นธรรมที่พวกเขามักอ้างว่ารับประทานไม่ได้
เปรียบแล้ว หากคุณกุหลาบเป็น "นกพิราบ" ท่านก็เป็นนกพิราบหนุ่มตัวแรกในสมัยนั้นที่กล้าแสดงตัวท่ามกลางหมอกควันของความไม่รู้ในสังคมยุคเปลี่ยนผ่าน กล้าชี้ "ถูก" ชี้ "ผิด" ให้ผู้คนที่ก็ไม่แน่ว่าจะพร้อมรับความคิดที่มาก่อนกาลนี้หรือไม่
ขณะที่ทุกวันนี้ เรื่องความถูกผิด เรื่องของอำนาจที่ถูกต้อง ดูเหมือนจะสามารถกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำเมื่อเทียบกับสมัยโบราณ แต่ "นกพิราบ" รุ่นใหม่บางตัวก็ "หัวหด" ทั้งที่เต็มไปด้วยกำลังหนุ่มสาวและไม่มีเหตุผลในเรื่องทุนหรืออะไรอื่นๆ มาเป็นตัวบีบ มีแต่ "จริยธรรม" ในใจของพวกเขาเท่านั้นที่จืดจางลง
ความเป็นนักหนังสือพิมพ์ของกุหลาบยังไม่หมดเท่านี้ ชีวิตนักหนังสือพิมพ์ของเขากล่าวได้ว่าปะทะแรงต้านทางการเมืองหลายครั้งเพราะเขารักความเป็นธรรม จนบางครั้งต้องไปเขียนหนังสือใน "คุก"
กุหลาบไม่เลือกเส้นทางสบายเหมือนนักหนังสือพิมพ์ปัจจุบันบางคนที่เสวยสุขบนความมั่งมี เสวยสุขจากรายได้ซึ่งเกิดจากสิ่งไร้สาระที่ตนเอาไปมอมเมาสังคมจนบางคนหลงคิดว่านี่คือสิ่ง "ดีแท้"
ผมคงไม่กล่าวว่ากำลังพูดถึงสื่อประเภทไหน เพราะทุกวันนี้มันแทรกไปแทบทุกที่และคนทั่วไปก็ปวารณาจนก่อเกิดเป็น "ทฤษฎีใหม่" ว่าเรื่องนี้เป็น "ปกติ" ของสังคมอย่างหน้าตาเฉย
คุณกุหลาบมีอันต้องย้ายที่พำนักจากบ้านไปอยู่ในเรือนจำถึงสองครั้ง ครั้งแรก 3 เดือน ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ช่วง พ.ศ. 2485 ซึ่งได้เกิด "สงครามมหาเอเชียบูรพา" ขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกุหลาบเป็นผู้หนึ่งที่คัดค้านการที่รัฐบาลสนับสนุนญี่ปุ่น (ขณะนั้นเขาเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ) ผลงานที่วิพากษ์วิจารณ์ จอมพล ป. ตั้งแต่สมัยทำหนังสือพิมพ์ประชาชาติ จึงไม่น่าแปลกใจนักที่เขาจะโดนจับ
"แม้จะมีความผูกพันฉันไมตรี นับถือกันอยู่ก็ดี แต่ตราบเท่าที่อยู่ในหน้าที่แล้ว เมื่อมีเหตุการณ์สลักสำคัญที่ต้องวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ข้าพเจ้าก็จำเป็นจะต้องกระทำต่อไป ก็มีเหลืออยู่แต่ทางหนึ่งคือ ข้าพเจ้าจะสละตำแหน่งและวางมือจากวงการหนังสือพิมพ์เสีย"
นี่คือประโยคของนักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งที่ "เขียนตอบ" นายกรัฐมนตรี (ช่วง 2480 จอมพล ป. เป็นนายกฯ ที่มีอำนาจมาก) ในท่อนนำของบทความเรื่อง "เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475" ที่เขาเขียนเป็นตอนๆ ทั้งหมด 16 ตอนในหนังสือพิมพ์สุภาพบุรุษ ซึ่งหมายถึงว่า หากคนชื่อกุหลาบยังเป็นนักหนังสือพิมพ์อยู่ การจะมาบอกให้ทำตัวไม่สนใจความเป็นไปของบ้านเมือง และให้ทำตัวสงบไม่แสดงความเห็นต่อการกระทำของรัฐบาลอันเป็นหน้าที่สำคัญของหนังสือพิมพ์แล้วนั้น ก็ให้เขาเลิกทำอาชีพนี้เสียจะดีกว่าทำไปโดยแกนๆ
25 กันยายน 2488 เข้าร่วมขบวนสวนสนามของเสรีไทย
อีกครั้งหนึ่งคือสมัยจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ครั้งนี้กุหลาบโดนจับอันเนื่องจากผลงานมาวิจารณ์รัฐบาลเป็นระยะๆ ตั้งแต่หลังสงคราม (พ.ศ.2488 2495) รวมกับคนอื่นซึ่งถูกเหวี่ยงแหจับมารวมกันในคดีที่เรียกว่า "กบฏสันติภาพ" โดยเขาโดนจับขณะเป็นตัวแทนสมาคมหนังสือพิมพ์ออกไปแจกของแก่ผู้ประสบความแห้งแล้งที่ภาคอีสาน
ขณะถูกจับกุมในคดี "กบฏสันติภาพ" เมื่อปี 2495
ภายในคุกบางขวางรอบนี้เองที่เขาเขียนงานชิ้นสำคัญที่สุดขึ้นมาอย่าง "แลไปข้างหน้า" บทกวีอย่าง "อาชญากร ผู้ปล่อยนกพิราบ" ซึ่งยืนยันถึงเจตนารมณ์อันแน่วแน่ว่าแม้จะถูกจับ ถูกคุมขังอิสรภาพทางกายเพียงใด แต่อิสรภาพทางใจในฐานะนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ของเขาก็ไม่เคยที่จะหายไปกับการคุมขังนั้น
ขณะทำงานในห้องขังเรือนจำบางขวาง 2495-2500 (ภาพสีน้ำโดยคุณฮะ แซ่ลิ้ม)
สาส์นของเขาในเรื่องการทำหน้าที่สื่อมวลชนที่สอดแทรกในงานเหล่านี้ก็เช่น
"พวกหนังสือพิมพ์มีแต่ปากกา จะไปยิงกับนายทหารได้อย่างไร เราไม่ต้องการจะยิงกับใคร ด้วยกระสุนเหล็กและด้วยการใช้อำนาจข่มขี่ผู้อื่น แต่เราจะยิงต่อไปด้วยกระสุนแห่งถ้อยคำและเหตุผลจนกว่าเราจะล้มลงและหมดกำลัง เรายิงเพื่อความถูกต้องชอบธรรม"
แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย
หนังสือพิมพ์จะบำเพ็ญหน้าที่ของตนได้มากน้อยเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับความเป็นอิสระที่หนังสือพิมพ์นั้นมีอยู่ ถ้าหนังสือพิมพ์ขากความเป็นอิสระแล้ว ก็อย่าได้อวดอ้างไปเลยว่า เราจะบำเพ็ญหน้าที่ของเราโดยเต็มที่ เว้นแต่เมื่อเราพูดเช่นนั้น เราจะหมายความเช่นเดียวกับที่คนเจ็บใกล้จะตายพูดออกมาว่า เขาจะต่อสู้กับความตายโดยเต็มที่ คืเต็มกำลังของร่างที่มีแต่โครงกระดูกและความเจ็บปวดทรมานอย่างสุดที่จะต่อสู้ได้"
เรื่องของเขาและศรีบูรพากับบทประพันธ์ในบรรณพิภพ
"ถ้ารัฐบาล (หรือผู้ที่กำลังถูกวิจารณ์ไปตามความจริง-ผู้เขียน) ไม่ชอบให้ใครพูดถึงรัฐบาลในสิ่งไม่ดี รัฐบาลก็จะต้องไม่ทำในสิ่งนั้น รัฐบาลต้องแก้การกระทำของรัฐบาล ไม่ใช่มาเรียกร้องให้เราแก้การเขียนหนังสือของเราที่เขียนไปตามความเป็นจริง"
แลไปข้างหน้า ภาคมัชฌิมวัย
ปัจจุบันแม้ ศรีบูรพา - กุหลาบ สายประดิษฐ์ จากไปครบหนึ่งศตวรรษแล้ว งานและข้อคิดของเขายังคงย้อนกลับมาเตือนใจผมได้เสมอ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในโอกาส 100 ปีนี้จะเข้าหูนักหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่สักแค่ไหน
พึงรู้ว่า ช่วงเวลาที่กุหลาบเขียนงานเหล่านี้ เขามีชีวิตอยู่จริง และเขาทำงานท่ามสังคมไทยสมัยที่ "ปิด" เรื่องการเมืองยิ่งกว่าสมัยนี้มาก (โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 2490 ที่ทำให้คนดีอย่างอาจารย์ปรีดีต้องออกนอกประเทศไป)
ข้ออ้างที่ว่านักหนังสือพิมพ์แบบเขานั้นไม่มีใครในปัจจุบันสามารถยึดแนวทางและทำตามได้ จึงไม่น่าสมเหตุสมผลในยุคที่สังคมและรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้เรามากมายเช่นนี้ แม้จะมีพลังของทุนคุกคามอยู่ก็ตาม
ยิ่งในระดับ "หนังสือพิมพ์ฝึกหัด" แล้ว ก็จำเป็นยิ่งที่ต้องปลูกฝังสิ่งที่กุหลาบให้แนวทางไว้มากๆ เพื่อที่เราจะได้คนทำสื่อที่มีคุณภาพในอนาคตมิใช่หรือ?
ผมเชื่อว่า อาจารย์สอนนิเทศศาสตร์หรือวารสารศาสตร์ซึ่งมี "วิญญาณของคนทำสื่อ" ย่อมไม่มองวิชานี้แค่วิชาเรียนธรรมดาแล้วปล่อยให้ผ่านไป แต่การทำหนังสือพิมพ์ฝึกหัดนี้แหละ จะเป็นฐานที่สำคัญในอนาคตของคนหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่
เขียนมานี้ ก็เพียงอยากให้ "พิราบน้อย" บางคนและบางแห่งที่หัดทำหนังสือพิมพ์อยู่นั้น สามารถบินตามเส้นทางอันงดงามที่ "พิราบรุ่นใหญ่" อย่าง "ศรีบูรพา" ทิ้งไว้ได้อย่างถูกต้องเท่านั้น ·
เอกสารอ้างอิง
- คณะอนุกรรมการฝ่ายจัดพิมพ์หนังสือที่ระลึก-คณะผู้จัดทำในนามบริษัทวิริยะธุรกิจ จำกัด. คืออิสสรชน คือคนดี คือศรีบูรพา. หนังสือที่ระลึกเนื่องในวันครบรอบ 100 ปี กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา) กรุงเทพฯ 2548.
- สุชาติ สวัสดิ์ศรี บก. กุหลาบ สายประดิษฐ์. มนุษย์ไม่ได้กินแกลบ. คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน 100 ปี ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) กรุงเทพฯ 2548.