Skip to main content

สุดแดนแต่ไม่สุดทาง "ด่านเจดีย์สามองค์"

คอลัมน์/ชุมชน

 


 



สายวันนั้น…


 


ผมยืนพินิจพิจารณารอบตัว ตั้งคำถามกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่า นี่คือด่านเจดีย์สามองค์จริงหรือ?  แต่ป้ายตรงนั้นก็ช่วยเตือนสติว่านี่แหละของจริง นี่แหละนายกำลังยืนอยู่บนดินแดนซึ่งครั้งหนึ่งเป็นเส้นทางเดินทัพสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์บาดแผลไทย-พม่า


 


"ด่านพระเจดีย์สามองค์"


 


คนไทยคงคุ้นหูชื่อนี้ดีไม่แพ้กษัตริย์องค์ต่างๆ ในแบบเรียน


 


เสียแต่ "เจดีย์สามองค์" มีชื่อในแง่ไม่ดีสักเท่าไรในความรับรู้คนไทย เพราะปรากฏตัวในประวัติศาสตร์รบทัพจับศึกระหว่างอยุธยากับหงสาวดีหรือกับอังวะเสียมาก


 


ด่านเจดีย์สามองค์ คือบริเวณที่มีเจดีย์เล็กๆ สีขาว สูงกว่าหัวคนซึ่งสูง 170 กว่าประมาณ 10 เซนติเมตร และมีสามองค์ตามชื่อเรียก


 


ทำไมผมต้องมาเพ่งพินิจพิจารณาเจดีย์ดังกล่าว…


 


สุดท้ายเพิ่งจะตระหนักก็ตอนกลับมาทบทวนว่าตัวเองคงไม่ต่างอะไรกับคนส่วนมากซึ่งมักจินตนาการเสียอลังการก่อนมาเยือนที่นี่ว่า จะพบเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ยืนตระหง่าน…ในที่สุดก็พบกับความจริง


 


คุณน้าที่ผมรู้จักคนหนึ่งพาลูกสาวมาเที่ยวที่นี่ ตอนมาเจ้าหนูดีใจว่าจะได้สัมผัสเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ พอถึงสถานที่จริง หนูน้อยกลับพบเจดีย์จิ๋ว 3 องค์ตั้งอยู่ เลยประท้วงคุณแม่ว่านี่ของปลอม!


 


"ของจริงต้องหญ่าย…กว่านี้"  แล้วแกก็โยเยไปตามระเบียบเพราะคิดว่าโดนผู้ใหญ่หลอก


 


อันที่จริงเหตุที่ทำให้ผู้ไม่เคยสัมผัสด่านชายแดนสำคัญนี้ด้วยตัวเอง จินตนาการเสียเลิศเลอก็คงมาจากมุมกล้องนั่นเอง ที่ทำให้คนซึ่งรู้จักที่นี่ผ่านการอ่านหนังสือท่องเที่ยว ยิ่งเล่มไหนถ่ายมุมเงยก็จะยิ่งให้ความรู้สึกว่าเจดีย์นี้สูงและภาพที่ลงในหนังสือส่วนมากก็มักไม่มีคนไปเป็นองค์ประกอบเปรียบเทียบขนาดกับเจดีย์เสียด้วย


 


กว่าผู้ใหญ่หลายคนจะรู้ความจริง ก็โดนคุณลูกต่อว่าเสียหลายยก…


 


ผมสัญจรไปเจดีย์สามองค์อย่างจริงจังครั้งแรกก็เมื่อต้นปี พ.ศ.2547 ที่ผ่านมา แล้วก็พบว่าที่นี่ไม่ใช่แค่จุดผ่านแดนซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าสำคัญแห่งหนึ่งด้วย


 


ที่นี่ยังทำให้ความฝันที่อยากเดินทางเข้าลึกไปแดนเจดีย์สี่พันองค์ของผมเป็นจริงขึ้นมา หลังสัมผัสพม่าผ่าน "ประวัติศาสตร์ชาตินิยม" ในแบบเรียนมาตลอดกว่า 2 ทศวรรษ


 


ดินแดนเจดีย์ทองบอกผมว่า…พวกเขาไม่น่ากลัวอย่างที่คิด


 


ใครอยากผ่านไปสัมผัสก็แสนง่าย หากไม่ต้องการไปค้างคืนหรือสนทนาประสาพม่ากับใครนานกว่าหนึ่งวันก็ทำเรื่องที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งไทยได้ทันที ขอแค่มีบัตรประชาชนเท่านั้น ซึ่งนี่คืออภิสิทธิ์ที่ชาวต่างชาติอื่นไม่สามารถทำได้  ถ้าไม่ใช่คนไทยต้องขอวีซ่าให้เป็นเรื่องเป็นราวก่อน


 


ถนนลาดยางที่แยกมาจากเส้นทางอันมุ่งหน้าไปอำเภอสังขละบุรีนั้น ก็คือทางพุ่งตรงสู่ด่านชายแดน ผ่านทิวเขาและด่านต่างๆ สักพัก จนสิ้นสุดที่เจดีย์สีขาวเล็กๆ สามองค์ ซึ่งอยู่ในเขตไทยทั้งหมด


 


ความจริงเรื่องเจดีย์สามองค์นี้ยังมีประเด็นที่นักวิชาการยังถกเถียงกันอยู่ว่า นี่คือของจริงหรือไม่  ผมเองก็ยังไม่สามารถให้ข้อสรุปได้ เพราะจากประสบการณ์สัญจรแถบนี้เคยเจอเจดีย์เก่าๆ มากมายเต็มไปหมดตามแนวตะเข็บชายแดนกาญจนบุรี จะว่าไปหลังวัดหลวงพ่ออุตตมะในสังขละบุรีก็มีเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่งถูกต้นไม้คลุมเกือบหมดตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางป่าช้า ซึ่งชาวบ้านเขาลือกันว่านี่ละคือเจดีย์หนึ่งในสามองค์ของจริง…


 


ก็ว่ากันไป อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์ก็ต้องจารึกว่า ณ วันนี้ ด่านเจดีย์สามองค์คือสุดเขตชายแดนตะวันตกของไทยที่มีความคึกคักทางการค้ามากที่สุดแห่งหนึ่งในบรรดาจุดผ่านแดนไทยกับพม่าที่มีอยู่มากมายหลายสิบจุด


 


คนไทยซึ่งมาเยือนที่นี่มักไม่พลาดการขับรถข้ามไปอีกฝั่งเพื่อแวะซื้อของที่ตลาดชายแดนฝั่งพม่าซึ่งมีผลิตภัณฑ์จากไม้ ของป่า และสินค้าจีนราคาถูกกว่าเมืองไทย


 


แน่นอน…ที่นี่ยินดีรับเงินไทยครับ


 


วันนี้ตลาดชายแดนคึกคักด้วยผู้คน ผมนึกไม่ออกว่าในอดีตที่ทหารมอญ พม่า ยะไข่ ตองอู พากันเอะอะยกพลและสรรพาวุธผ่านช่องแคบระหว่างขุนเขาเข้าไปตีอยุธยา ความอลหม่านจะแตกต่างกันขนาดไหน


 


ประวัติศาสตร์คือเรื่องที่ต้องเรียนรู้ แต่ต้องไม่คิดแค้นหรือเป็นเดือดเป็นร้อน


 


ทำนองล้างแค้น 100 ปียังไม่สายแบบหนังจีนกำลังภายใน ไม่งั้นมันก็ไม่จบ


 


ณ วันนี้ ถนนยางมะตอยจากฝั่งไทยสิ้นสุดแค่ด่านเจดีย์สามองค์ แต่ถนนขรุขระฝั่งพม่าก็เชิญให้ผมเข้าไปเยี่ยมเยือนสัมผัสบรรยากาศเพื่อนบ้านต่อโดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด


 


ยังมีเส้นทางให้เดินไปเยี่ยมมิตรของเราต่อไปครับ


 


ตราบใดที่ "ถนนหัวใจ" ของคนอุษาคเนย์ยังคงเปิดให้กัน…ã