หวงสารพิษกันทำไม
คอลัมน์/ชุมชน
หนังสือพิมพ์รายวันฉบับหนึ่ง รายงานอันตรายของยาแก้ปวดพาราเซตามอลและไอบูโพรเฟน ยาทั้งสองขนานเป็นยาแก้ปวดที่คนทั่วไปใช้กันมานาน เพียงวันเดียวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมายืนยันความปลอดภัยของพาราเซตามอล
พาราเซตามอลเป็นยาแก้ปวดที่ใช้กันมานานและหาซื้อได้ทั่วไป ระคายเคืองกระเพาะอาหารน้อยมาก และไม่มีอันตรายหากไม่กินเกินขนาด ส่วนไอบูโพรเฟนเป็นยาแก้ปวดที่มีประวัติน่าสนใจ
ยี่สิบปีก่อน ตอนที่ไอบูโพรเฟนออกวางตลาดใหม่ๆ เป็นยาต้นแบบนำเข้า ผมจำได้ว่ามีตัวอย่างยาวางไว้บนโต๊ะตรวจผู้ป่วยนอกเสมอๆ เอกสารโฆษณายาและการประชุมวิชาการสมัยนั้นยืนยันว่ายาปลอดภัย ไม่กัดกระเพาะอาหาร ตำราเภสัชวิทยาต่างประเทศที่ได้มาตรฐานเล่มหนึ่งก็ยืนยันข้อมูลนี้ แต่พอยาต้นแบบตัวใหม่ออกวางตลาด ไอบูโพรเฟนก็กัดกระเพาะอาหารทันที
ปี พ.ศ.2540 เมื่อเศรษฐกิจไทยตก เงินบำรุงโรงพยาบาลดิ่งเหวเพราะค่ายา ไอบูโพรเฟนถูกโจมตีว่ากัดกระเพาะอาหารรุนแรงสมควรเอาออกจากโรงพยาบาล ส่วนยาต้นแบบตัวใหม่ซึ่งอ้างว่าไม่กัดกระเพาะอาหารได้รับการเสนอเข้าโรงพยาบาลแทน ประเด็นปัญหาคือว่า ณ เวลานั้นไอบูโพร เฟนพ้นสิทธิบัตรและผลิตในประเทศราคาเม็ดละ 1-2 บาทแล้ว ขณะที่ยาต้นแบบตัวใหม่ราคาเม็ดละ 10 บาท
สถานการณ์เกี่ยวกับยาแก้ปวดเล่นเอาล่อเอาเถิดกันแบบนี้ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา เมื่อยาต้นแบบตัวใหม่มา ยาต้นแบบตัวเก่าพ้นสิทธิบัตรสามารถผลิตในประเทศได้ เอกสารจากบริษัทยาและวารสารการแพทย์ก็จะเริ่มรายการรุมโจมตียาเก่าและเชียร์ยาใหม่ เมื่อมาถึงปี พ.ศ.2548 แนวรบก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เอกสารจากบริษัทยาและวารสารการแพทย์กำลังเชียร์ยาแก้ปวดตัวใหม่ที่ชื่อว่า ค็อกซ์ทูอินฮิบิเตอร์ และบ่อนทำลายสรรพคุณของยาแก้ปวดตัวเก่าอย่างไม่หยุดยั้ง ประเด็นปัญหาคือ ค็อกซ์ทูอินฮิบิเตอร์ราคาเม็ดละหลายสิบบาท ขณะที่ยาแก้ปวดตัวเก่าราคา 1-2 บาท สำหรับพาราเซตามอลนั้นหาซื้อได้กระป๋องละ 150-200 บาทมี 1,000 เม็ด
ผู้บริโภคควรเชื่อใคร หรือเชื่ออะไร
สุพล ลิมวัฒนานนท์ จุฬาภรณ์ ลิมวัฒนานนท์ และศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย ได้รายงานกรณีศึกษาความไม่เสมอภาคของการใช้ยาต้านการอักเสบประเภทค็อกซ์ทูอินฮิบิเตอร์ พบว่า ค่าใช้จ่ายโดยรวมของยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เกือบทั้งหมดก็คือยาแก้ปวด) เท่ากับ 23.2 ล้านบาทในปี 2543 34.3 ล้านบาทในปี 2544 และ 38.0 ล้านบาทในปี 2545 ในจำนวนนี้ส่วนแบ่งของค็อกซ์ทูอินฮิบิเตอร์เติบโตจาก 6.5% เมื่อต้นปี 2543 เป็น 52.1% เมื่อปลายปี 2545
เมื่อลงในรายละเอียดพบว่า ข้าราชการเป็นผู้ที่ได้ค็อกซ์ทูอินฮิบิเตอร์ไปกินมากเป็น 16-23 เท่าของผู้ป่วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ 10-13 เท่าของผู้ป่วยประกันสังคม ทั้งนี้เป็นการเปรียบเทียบในกลุ่มผู้ป่วยที่มีเพศเดียวกัน อายุเท่ากัน ในโรงพยาบาลเดียวกัน และปีเดียวกัน
เรื่องที่ผมควรเรียนเพิ่มเติมคือ คณะกรรมการพิจารณาบัญชียาหลักแห่งชาติได้ทบทวนเอกสารทางวิชาการของค็อกซ์ทูอินฮิบิเตอร์ แล้วพบว่าไม่มีประโยชน์เหนือยาแก้ปวดที่มีอยู่เดิมและระคายกระเพาะอาหารในระดับเดียวกับยาแก้ปวดที่มีอยู่เดิมจึงมีมติไม่บรรจุยาตัวนี้ในบัญชียาหลักแห่งชาติฉบับปัจจุบัน กรณีนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าจริยธรรมของคณะกรรมการพิจารณาบัญชียาหลักแห่งชาติเข้มแข็งมากพอที่จะต้านทานการรุกของบริษัทยาได้
จากข้อมูลข้างต้น เราจะพบว่าข้าราชการได้รับยาแพงที่เข้าใจว่าดีมากกว่ากลุ่มอื่นๆ หากเราหลงผิดว่ายาตัวนี้ดี เราจะพบว่าผู้ป่วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ของดีมากกว่าผู้ป่วยประกันสังคมเสียอีก บังเอิญยาตัวนี้มิใช่ยาดีอะไรแค่แพงเสียเปล่า
ยังมีรายงานอีกชิ้นหนึ่งที่เปรียบเทียบการใช้ยาปฏิชีวนะ (คือยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) ในผู้ป่วยไข้หวัด(ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสและไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ฝืนใช้แพ้ยาทั้งตัวไม่รู้ด้วยนะเออ) พบว่าข้าราชการได้ยาปฏิชีวนะไปมากที่สุด ผู้ป่วยประกันสังคมได้ไปที่สอง และผู้ป่วยหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้น้อยที่สุด
จะเห็นว่าข้าราชการได้ยากลับบ้านมากที่สุดอยู่ดีทั้งที่เป็นยาไม่จำเป็น
ความไม่เสมอภาคในการใช้ยาจึงเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยทั้ง 3 กองทุนควรใส่ใจ ทำความเข้าใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข เพราะ ณ ปัจจุบันทุกคนกำลังเสียประโยชน์ ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ไม่รู้ว่าอะไรควรได้อะไรไม่ควรได้ หลงเชื่อว่าของแพงต้องดี แล้วก็มัวแต่พิทักษ์ของแพงของตนเองโดยหารู้ไม่ว่ากำลังพิทักษ์สารพิษอยู่ฉะนั้น