Skip to main content

โอกาสของคนบาป

คอลัมน์/ชุมชน

 


 


1


มีข่าวคราวที่ปูดออกมา หลังจากที่คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนฯ เดินทางไปศึกษาดูงานที่สหรัฐฯ (ระหว่างวันที่ 29 ก.ค. – 9 ส.ค.2548) กลับมาถึงประเทศไทยว่า จริงๆ แล้ว การเดินทางในครั้งนี้ จะมีชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์  แห่งพรรคชาติไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมาธิการตำรวจ เดินทางร่วมไปด้วย แต่กลับไม่ได้เดินทางไปเนื่องจากถูกสหรัฐฯ ปฎิเสธไม่ออกวีซ่าให้


 


ชูวิทย์ออกมายอมรับว่า ไม่ได้วีซ่าจริง แต่ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลใด ซึ่งน่าจะเป็นเพราะตนไปประท้วงที่จะเอามาลาจากกรุวัดราชบูรณะคืนกระมัง  แต่ในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์บางฉบับ ชูวิทย์ก็บอกว่าอยากจะเรียกร้องกับทางสหรัฐฯ ว่า ควรให้เกียรติประเทศไทยบ้างเพราะตนไปในนามของคณะกรรมาธิการฯและ ส.. จากประเทศไทย 


 


"อยากจะฝากไป (ถึงสถานทูตสหรัฐฯ) ว่าควรให้โอกาสตน แม้จะเคยทำธุรกิจอาบอบนวดก็ไม่เคยทำแบบหลบๆ ซ่อนๆ เมื่อเลิกทำแล้วก็ควรให้โอกาส อีกทั้งประเทศสหรัฐฯ ถือว่าเป็นประเทศที่ให้อิสระเสรี ก็ควรให้ตนเดินทางไป เพราะภรรยากับลูกของตนก็อยู่ที่นั้นด้วย ดังนั้น ตนก็อยากไปเที่ยวสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ เล่นการพนันที่ลาสเวกัส" (ผู้จัดการ ออนไลน์ 18 ส.ค. 2548)


                                                                                                 


เรื่องประเด็นการออกวีซ่าหรือไม่ออกวีซ่านั้นก็เป็นสิทธิของแต่ละประเทศที่จะพิจารณาตามหลักการและมาตรการที่วางเอาไว้  แต่ในประเด็นจากคำพูดของชูวิทย์นั้นได้จุดประกายให้ต้องมาคิดต่ออีก 2-3 ประเด็นด้วยกัน


 


ประเด็นแรก เรื่องที่ชูวิทย์บอกว่า "ควรให้เกียรติ" ประเทศไทยบ้าง เพราะตนไปในนามคณะกรรมาธิการ และ ส.. จากประเทศไทย  นั้น นับเป็นการยกประเทศไทยมาอ้าง แล้วคนไทยก็จะสามารถมีอารมณ์ร่วมได้ทันทีว่า เออ ใช่ ทำแบบนี้เท่ากับไม่ให้เกียรติประเทศไทยนะเนี่ย  หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ แต่ชูวิทย์ก็ไม่วายทิ้งท้ายเอาไว้ที่อยากไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ เล่นการพนัน ที่ลาสเวกัส ก็เลยทำให้ต้องคิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง


 


แน่นอน ตัวผู้เขียนเองนั้นก็ไม่ได้เคยศรัทธาในมาตรฐานการวัดค่าของของคนของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่แล้ว เขาจะให้ใครไปใครมาในประเทศของเขาก็อย่างที่บอกแหละว่าเป็นสิทธิของเขา 100%  และเขาก็วางมาตรฐานการปฎิบัติเอาไว้แล้ว ก็เป็นเรื่องอธิปไตยของเขาที่คงไม่มีใครไปร้องเรียนใดๆได้ แต่ก็เชื่อมั่นในหลักการว่า ในระดับประเทศ หรือระดับรัฐต่อรัฐแล้ว เขาคงจะให้เกียรติในเอกราช และอธิปไตยของประเทศเราอยู่ ส่วนบุคคลสำคัญของประเทศ หากไม่มีประวัติด่างพร้อยใดๆ  เขาก็คงให้เกียรติอยู่แล้ว


 


แต่เมื่อชูวิทย์ใช้ข้ออ้างว่า เขาควรให้เกียรติประเทศไทยด้วย นี่นับว่าเป็นคนละเรื่องกัน แม้ชูวิทย์เองบอกว่า ทางสหรัฐฯไม่ได้ให้เหตุผลว่า ทำไมถึงปฎิเสธวีซ่าตน แต่แหล่งข่าวจากวอชิงตัน ที่สามารถสืบค้นเหตุผลเรื่องนี้ได้บอกว่า เป็นประเด็นประวัติของเขาแท้ๆ ทีเดียว ที่สำคัญ 2-3 ปีให้หลังมานี้ สหรัฐฯ เอาจริงกับเรื่องการต่อต้านการค้าประเวณีและการค้ามนุษย์มาก โดยต้องการให้ปราบปรามในตัวผู้ประกอบธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น ชูวิทย์ผู้ซึ่งในอดีตเคยไปร่ำเรียนและทำมาหากินอยู่อเมริกา แต่ยังไม่ได้มีอาชีพนี้จึงเข้าออกประเทศได้อย่างสบาย  แต่ว่ามาวันนี้สถานการณ์กลับผิดกันไปแล้ว คือเขายังไม่ขาวในสายตาอเมริกา


 


ดังนั้น คราวนี้จึงไม่ได้เป็นเรื่องของการไม่ให้เกียรติประเทศไทย อะไรหรอก เพราะกรรมาธิการคนอื่นๆ นั้นก็ได้ไปกันหมด ก็คือเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาทีเดียว แม้เขาจะบอกว่าเขาเป็น ส.ส.ก็ตาม


 


คราวนี้หากเราพยายามที่จะโยงเอาความเป็นตัวแทนของประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย เราต้องคิดกันให้มากขึ้นว่า เราจะรู้สึกเสียหน้าที่เขาไม่ยอมให้ผู้แทนของเราเข้าประเทศ หรือเราควรจะเสียใจดีว่า ดันเลือกคนที่ด่างพร้อยที่ในระดับนานาชาติยังไม่ยอมรับเข้ามาเป็นตัวแทนของเรา


 


2


ประเด็นต่อมาในกรณีที่ ชูวิทย์บอกว่า ควรจะ "ให้โอกาส" ตนด้วย แม้จะเคยทำธุรกิจอาบอบนวด แต่เมื่อเลิกไปแล้วก็ควรให้โอกาส  เขาก็อยากจะให้โอกาสอยู่กระมัง หากในแผนไม่มีการไปเที่ยวลาสเวกัสด้วย เพราะที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่แหล่งการพนันอย่างเดียวแต่มีครบทุกรสชาติแห่งอบายมุข ถึงแม้หากจะอ้างว่าจะไปศึกษาถึงการทำงานของตำรวจที่นั่นหรืออะไรก็แล้วช่างเถอะ แต่เขาก็อาจจะเกรงว่าผู้เคยมีประวัติเช่นนี้อาจจะไปดูลู่ทางทำธุรกิจก็ได้ ก็อย่างที่บอกตอนนี้สหรัฐฯ กำลังเข้มเรื่องการปราบปรามการค้ามนุษย์


 


คราวนี้เรามาดูทั้งสองประเด็นในภาพรวม  ชูวิทย์ไม่เพียงทำธุรกิจอาบ อบ นวด ซึ่งเป็นธุรกิจที่เรียกว่า สีเทา แปลว่า ไม่ขาว และสามารถเรียกได้ว่า เป็นธุรกิจที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี และยังมีคดีต่าง ๆ อยู่หลาย  ตั้งแต่คดีรื้อบาร์เบียร์ ค้าประเวณีเด็กอายุไม่เกิน 18 ปีอีกด้วย (ยังไม่นับรวมเรื่องความรุนแรงในครอบครัว กรณีตบเมียหลวง) แต่ชูวิทย์ก็ออกมาแก้ต่างแก้ตัว ใช้น้ำยาฟอกขาวมาขัดตัวเอง โดยการออกมาแฉตำรวจเกี่ยวกับเรื่องของส่วยที่เขาต้องจ่ายให้กับตำรวจ มีรายชื่อและตัวเงินเสร็จสรรพ สร้างความสะใจให้แก่ท่านผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง ด้วยคนในประเทศไทยนั้นมีแนวโน้มที่จะเชื่ออยู่แล้วว่าตำรวจนั่นเองที่เป็นปัญหาของธุรกิจร้ายๆ ทั้งปวง ผู้อิทธิพลในประเทศจึงไม่พ้นเรื่องของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เมื่อชูวิทย์ออกมาทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน จึงเป็นเหตุให้ใครๆชื่นชมและให้ความสำคัญกับเขา ทำให้เขามีบทบาทที่โดดเด่นมากๆ จนแทบจะกลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ ซุปเปอร์แมน หรือเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาพิทักษ์คุณธรรมกันทีเดียว โดยลืมเรื่องการเป็นเจ้าพ่ออ่าง และมาดวายร้ายผมยาวไปเสียสิ้น แล้วภาพลักษณ์ชูวิทย์ก็ยิ่งดีมากขึ้นเมื่อประกาศล้างมือในอ่างทองคำ เลิกกิจการเหล่านี้ทั้งหมด


 


ซึ่งต่อมา ก็มีบทพิสูจน์ว่าคนกรุงเทพฯ นั้นยอมรับชูวิทย์อย่างเต็มหัวใจถึง 3 แสนคน พร้อมยอมให้ชูวิทย์มาเป็นพ่อเมืองชี้นำทางของ ชาวกทม. ความคลางแคลงใจว่าจะได้ผู้นำที่ด่างพร้อยก็หายไปสิ้น เหลือไว้แต่ความสะใจ และความหวังว่าจะเห็นคนที่ดูดีจะถูกเผยโฉมออกมาเป็นคนชั่วอีกสักกี่คน  ก็ไม่ได้เถียงหรอกนะว่า สิ่งที่ชูวิทย์ทำจะไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ แต่ประเด็นว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่นั้น เป็นคนละเรื่องกัน  เพราะก็ต้องไม่ลืมว่าโดยสัญชาตญาณเมื่อถึงคราวต้องเอาตัวรอด คนเรานั้นสามารถทำได้ทุกอย่างนั่นแหละ


 


3


มาถึงตรงนี้จะขอกล่าวแทรกสักเล็กน้อยถึงปัญหามาตรฐานด้านศีลธรรมของคนไทย กล่าวคือ ไม่แน่ใจนักว่าคนไทยขีดเส้นศีลธรรมต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งเอาไว้ตรงไหนกันแน่ อย่างเช่น กรณีการค้าประเวณีนั้นไม่เพียงเรื่องการค้าประเวณีเด็กเท่านั้น การค้าประเวณีเป็นเรื่องผิดกฎหมายไทย (การค้าประเวณีเด็กอายุต่ำกว่า 18 เป็นการค้ามนุษย์) แต่ก็มีการค้ากันโครมๆ ธุรกิจก็เติบโตเบ่งบานและเจ้าของกิจการก็สามารถลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ในสังคมมีแต่ตัวผู้หญิงเท่านั้นที่ถูกจับปรับอยู่ตลอดเวลา


 


ชูวิทย์เองก็เคยอ้างบุญคุณกับผู้หญิงพวกนี้ด้วยซ้ำว่า เป็นคนหางานให้ทำ ช่วยเด็กสาวเหล่านี้สร้างรายได้ งานของตนนั้นจัดว่าเป็นงานสังคมสงเคราะห์ด้วยซ้ำ แล้วคนก็รับฟังกันไป  ชูวิทย์ (ซึ่งหมายรวมถึงเจ้าของธุรกิจแบบนี้คนอื่นๆด้วย) ก็อยู่ในสังคมได้สบายๆ ตามภาษาวัยรุ่นเรียกว่า แบบ ชิลล์ ชิลล์ (ออกเสียงว่า ชิว ชิว)


 


แต่ในทางกลับกัน ครั้นพอกลุ่มผู้หญิงที่คิดว่าตนเองน่าจะสามารถมีทางเลือกอาชีพได้และเห็นว่าไหนๆ ก็เห็นๆกันอยู่ว่ามีอาชีพนี้อยู่ในประเทศและในโลก ผู้หญิงที่ค้าบริการทางเพศบางกลุ่มก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐยอมรับว่านี่เป็นอาชีพอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย  เพื่อว่าพวกเธอจะได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆจะได้ทำบัตรประกันสังคมได้ จะไปหาหมอ หรือบรับบริการสุขภาพได้สะดวกๆ  แต่ผู้คนก็กลับไม่เห็นด้วยและก็กล่าวหาว่า ผู้หญิงพวกนี้เป็นคนทำศีลธรรมเสื่อม การปล่อยให้มีอาชีพนี้ถือเป็นเรื่องเสื่อมศีลธรรมอย่างยิ่ง


 


หรืออีกกรณีการจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์ ที่มีอยู่อย่างแพร่หลาย รวมทั้งยินยอมให้มีการทั้งผลิตและนำเข้า พิธีกรรมจำนวนไม่น้อยของไทยต้องอาศัยเหล้าเป็นเครื่องบูชา เป็นเรื่องยอมรับได้แต่เมื่อเบียร์ช้างจะเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์ก็มีคนออกมาต่อต้านว่าทำเรื่องผิดศีลธรรม


 


หรือแม้กระทั่งเรื่องการรณรงค์ให้เรื่องผู้หญิงรักนวลสงวนตัว การที่ผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน หรือ ผู้หญิงไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนเป็นเรื่องของศีลธรรมเสื่อมทราม แต่ขณะที่สอนผู้ชายว่า ควรมีประสบการณ์ทางเพศเอาไว้ให้มาก ผู้ชายมีผู้หญิงหลายคนดูจะเป็นเรื่องชอบธรรม ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับศีลธรรมเลย (ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง)  แต่ทำไมผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์เยอะๆถึงเป็นเรื่องผิดศีลธรรม ไปได้


 


อีกกรณีเรื่องเล่นหวยเล่นเบอร์ นี่ก็ถือเป็นการมอมเมาเป็นอบายมุขอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้คนหมกมุ่นไม่คิดทำมาหากิน แต่หวยใต้ดินเท่านั้นเป็นเรื่องผิดศีลธรรม หวยบนดินกลับยอมรับได้ ให้เป็นเรื่องถูกกฎหมาย เรื่องชนิดเดียวกันแท้ๆ แต่ความถูกผิดกลับไม่ได้มีมาตรฐานเดียวกันเลย


 


ด้วยเหตุที่เรามีความสับสนอยู่ตลอดมาในเรื่องของการมีศีลธรรม ไม่เคยมีจุดยืนหรือมาตรฐานเดียวในเรื่องศีลธรรม แล้วเราก็จึงเลือกเจ้าของบ่อนการพนันที่ยังผิดกฎหมายอยู่ในสังคมไทย  (ที่อ้างว่า ได้นำเงินบาปเหล่านั้นมาเจือจานคนนับร้อยๆ แต่ไม่แน่นะว่า มีคนกี่พันที่บ้านแตกเพราะการพนัน) มาเป็น ส.ว. ผู้ทรงเกียรติ  และเราก็เลือกเอาเจ้าของธุรกิจอาบ อบ นวด ที่หากินบนเรือนร่างของผู้หญิง มาเป็นส.ส.ผู้ทรงเกียรติ  เราเลือกนักค้าอาวุธ  พวกตัดไม้ทำลายป่า พวกแอบอ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินสาธารณะมาเป็นผู้แทนของเรา แล้วเราก็เรียกเขาว่า "ท่าน"


 


หลายคนอาจเถียงว่า คนเราเมื่อคิดกลับตัวแล้วควรจะให้โอกาสแก่เขาในการทำความดี อย่างเช่นที่ชูวิทย์กล่าวว่า สหรัฐฯ ควรจะให้โอกาสแก่เขา  แน่นอน คนไทยเรานั้นเป็นนักให้โอกาสอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้น ชูวิทย์คงไม่ได้คะแนนมากถึง  3 แสนจากคนกรุงเทพฯ หรอก และพลาดแล้วก็ยังให้โอกาสให้มานั่งในสภา จนได้เข้ามาเป็นกรรมาธิการตำรวจ ไม่เช่นนั้น เราคงไม่เห็นผู้คนที่ฆ่าประชาชนนับร้อย สามารถกลับมาเดินบนท้องถนนได้หรอก  เรายังให้โอกาสคนที่ประกาศว่า จะแก้ปัญหาจราจรกรุงเทพฯให้ได้ภายใน 6 เดือน  ที่แม้ทำอะไรไม่ได้เลยในตอนนั้น ให้กลับมามีอำนาจเต็มอีกถึง 5 ปี กว่าเข้าไปแล้ว


 


นี่คือการเป็นนักให้โอกาสของคนไทย แต่ว่าคนประเทศอื่นเขาอาจไม่ชอบให้โอกาสคนเหมือนอย่างประเทศเราก็ได้ ใครทำอะไรเอาไว้เขาเลยจำได้หมดเลย คนไทยอาจจะลืมง่ายแต่เขาดันเป็นพวกความจำดีจึงลืมไม่ได้ง่ายๆเหมือนคนไทย สหรัฐฯจึงไม่ได้ให้โอกาสชูวิทย์แม้เขาจะบอกว่าเขาเลิกธุรกิจเทาๆแบบนั้นไปหมดแล้วก็ตาม


 


4


กล่าวโดยสรุป จากเหตุการณ์ที่สหรัฐฯไม่ผ่านวีซ่าให้ชูวิทย์ นั้นทำให้เกิดความคิดหลักๆในใจอยู่ 2 ประการ คือ ประการแรก การจะใช้น้ำยาฟอกขาวมาฟอกคนบาป ให้มาเป็นนักบุญ ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ นั้นยังคงเป็นไปได้ยาก ในเมื่อในโลกนี้ยังมีคนช่างจดจำอาศัยอยู่


 


ส่วนในเรื่องบาปบุญคุณโทษ ตามหลักศาสนาพุทธนั้นบาปแล้วบาปเลย แต่คนสามารถทำความดีเพิ่มได้เพื่อให้ ปลายของตาชั่งด้านบุญมีมากกว่าด้านบาป เพื่อชีวิตจะดีขึ้น แต่ไม่มีการทำดีเพื่อล้างบาป บาปยังอยู่แต่เมื่อบุญมากขึ้นจึงดูว่าบาปน้อยลง ดังนั้น คนเราจึงควรคิดให้ดีก่อนที่จะทำชั่ว หรือสร้างบาปกรรมใดๆ เพราะมันจะติดตัวอยู่ไม่หาย


 


ประการที่สอง ในฐานะประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย เราจึงจำเป็นจะต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่ว่า ใครสมควรที่จะเป็นผู้แทนของเรา เพราะเขาจะไปทำหน้าที่แทนเรา  คงเคยได้ยินคำว่า ประชาชนเป็นอย่างไรก็ได้ผู้แทนอย่างนั้น หากไม่ต้องการจะอับอายขายหน้า เวลาใครมากล่าวหาผู้แทนของเรา เราก็ควรจะเลือกคนที่ไม่ด่างพร้อย ไว้ตั้งแต่ต้น เพราะหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเราก็อาจช่วยเถียงแทนได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่เช่นนั้น เราก็จะต้องอับอายเมื่อคนมาถามว่า คนแบบนี้หรือที่เป็นตัวแทนของคุณ เราก็อาจจะต้องอ้ำอึ้งกันไป


 


อย่าลืมว่า มีโอกาสให้กับการทำความดีเสมอ แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่า การทำความชั่วนั้นก็ติดตัวไปตลอดเช่นกัน ดังนั้น จึงควรคิดให้ถ้วนถี่ก่อนที่จะทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าหากเคยทำไม่ดีเอาไว้แล้วควรทำดีให้มากเข้าไว้เพื่อตาชั่งฝั่งดีจะได้มากกว่าฝั่งชั่ว และที่แน่ๆ ก็คือ รอยเปื้อนในตัวอันมาจากการกระทำของตนเองคงไม่มีน้ำยาฟอกขาวชนิดไหนช่วยได้  ดังนั้น ทำในสิ่งที่ไม่ต้องเปื้อนไว้ก่อน จะได้ไม่ต้องขวนขวายหาน้ำยาฟอกขาวมาช่วยในภายหลังซึ่งไม่แน่นักว่าจะได้ผล