บทสรุปอาชญากรรมทางความคิด
คอลัมน์/ชุมชน
แอน..แอ้น แอ๊น ในที่สุดศึกการต่อสู้ทางความคิด และศึกปะทะข้อมูล ระหว่างผู้นำประเทศที่มีทั้งอำนาจบารมีเหลือล้น เพราะมีทั้งนักวิชาการ และข้าราชการ (ลูกหาบ) อยู่ในมือและพร้อมที่จะน้อมรับคำสั่งของท่านผู้นำประเทศทุกเมื่อทุกเวลา ไม่ว่าท่านนายกฯ จะสั่งให้หันไปทางไหน (แม้แต่กระแอมยังสะดุ้งกันเลย) ก็พร้อมจะสนองทันที กับชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ ที่ยืนหยัดสู้ไม่ถอยก็จบลง เรียกว่าจบเอาดื้อๆ เป็นละครทีวีก็เรียกว่าจบไม่สมบูรณ์ ไม่สะใจคนดู
ท่านผู้ที่เคยติดตามเรื่องอาชญากรรมทางความคิดตอนก่อน ๆ คงเข้าใจดีว่า หากท่านผู้นำคิดจะทำอะไร ก็จะดันทุรังเอาให้ได้ ใครคัดใครค้านไม่มีฟัง ตั้งท่าจะลุยท่าเดียว ไม่ว่าจะเสียเงินเสียทองเท่าไรเพื่อแลกกับความต้องการ เป็นทุ่มไม่อั้น (ก็มันไม่ใช่เงินตัวเองนี่เลยไม่เสียดาย) เรียกว่าจ่ายแหลก ตั้งแต่จ้างมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มาวิจัยมาศึกษา โดยที่ไม่ต้องการผลก็ยังทำได้ อนุมัติงบประมาณผ่านสภาผู้แทนราษฎรเป็นหมื่นล้านบาท โดยให้มีผลผูกพันหลายปี จ้างคณะอาจารย์ออกแบบสะพาน ทั้งที่ข้อมูลทางด้านสิ่งแวดล้อมยังไม่ชัดเจนและยังหาบทสรุปไม่ได้ แล้วยังจะมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นผลพวงจากโครงการนี้ คิด ๆ ดูแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท (ใครจะรับผิดชอบเนี่ย)
ถ้าถามว่า งานนี้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะใช่ไหม คำตอบคงบอกว่าอาจจะใช่ (คิดเข้าข้างตัวเอง) แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะคนอย่างท่านผู้นำเป็นคนที่ไม่พร้อมจะฟังใคร โดยเฉพาะพวกที่คิดไม่เหมือนตัวเอง และหากชาวบ้านกลุ่มนี้จับทิศทางอารมณ์ของท่านผู้นำไม่ถูก ก็มีสิทธิจะเพลี่ยงพล้ำได้เหมือนกัน ก็ไอ้ที่คิดกันว่าชาวบ้านโง่ มันก็ไม่ใช่เรื่องจริงเสียทั้งหมดจริงไหม เพราะหากชาวบ้านเล่นบทเก่า ๆ เช่น รวมตัวกันมาประท้วง เพื่อกดดันรัฐ ไม่มีทางสำเร็จ ไม่ช้าก็หมดแรงไปเอง ชาวบ้านต้องเป็นฝ่ายลงทุนสูง ทั้งเวลา ทั้งความอดทน และที่สำคัญคือวิธีนี้ท่านผู้นำไม่ชอบ และไม่ยอมรับฟังแน่
แต่เมื่อชาวบ้านจับทางท่านผู้นำถูก ว่าหากจะสู้กับคนที่เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองสูง ต้องสู้กันด้วยข้อมูล สู้กันด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเอกสารหลักฐานพอสมควร จนทำให้กลุ่มที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เก่งเรื่องการรวบรวมข้อมูล การเขียนแผนที่ และการเสาะหาความรู้มาประกอบโดยอัตโนมัติ (ต้องขอบคุณท่านผู้นำ)
การต่อสู้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดด้วย 3 สาเหตุ คือ
1) รัฐบาลถังแตก ไม่มีเงินมาตอบสนองความต้องการได้ เพราะมันใช้งบเยอะ
2) ท่านผู้นำเกิดสำนึกว่าสิ่งที่กำลังจะทำอยู่นี้ จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนและสิ่งแวดล้อมเสียหาย และ
3) เป็นเพราะพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงท่าน ที่ได้ทรงเล็งเห็นความเสียหายที่อาจจะเกิดจากโครงการนี้ จึงได้ทรงติติงจนทำให้ท่านผู้นำต้องยกธงยอมแพ้ (ข้อหลังมีเหตุผลที่สุด)
เรื่องนี้สามารถใช้เป็นบทเรียน เพื่อให้ชาวบ้านกลุ่มต่างๆที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการของรัฐ อย่าถ้อถอย อย่าคิดว่าสู้ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้กลุ่มที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่ใช่สู้ง่าย ๆ ตลอดระยะเวลาการต่อสู้ ชาวบ้านถูกแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งจากชาวบ้านด้วยกันเองที่มองว่า คนพวกนี้บ้า รู้ว่าค้านไม่ได้แล้วยังดันทุรัง บางกลุ่มมองพวกเราอย่างสมเพศ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มนักวิชาการ และข้าราชการที่ยืนอยู่ข้างรัฐ เพราะคนพวกนี้มองพวกเราอย่างเหยียดหยาม และดูถูกข้อมูลที่ชาวบ้าน ใช้ความพยายามอย่างที่สุดเพื่อนำมาเปรียบเทียบ หักล้างข้อมูลทางวิชาการที่มองปัญหาด้านเดียวให้ได้มากที่สุด
ถึงแม้ข้อมูลที่หามาจะถูกกล่าวหาว่าเป็นข้อมูลทางไสยศาสตร์ เชื่อไม่ได้ก็ตาม แต่ด้วยความมุ่งมั่น ที่คนกลุ่มนี้คิดเสมอว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่สู้เพื่อตนเอง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อหวงแหนสมบัติชิ้นนี้ไว้ให้เป็นสมบัติของลูกหลาน พลังจึงไม่มีตกเพราะใจคิดยกยอตัวเองอยู่เสมอว่า เรากำลังทำเรื่องดี ๆอยู่ แม้ว่าวันนี้ดูเหมือนเรื่องมันจะจบลงแล้ว แต่ชาวบ้านก็ยังไม่วางใจเพราะท่านผู้นำใช้คำว่าหยุดไว้ก่อน ไม่ได้ใช้คำว่ายกเลิกโครงการ ทำให้ชาวบ้านยังต้องคอยจับตาเฝ้าระวังด้วยความกลัวว่า ความคิดฆาตกรจะกลับมาสู่ท่านผู้นำอีกเมื่อไร
วันนี้อาจจะพูดได้ว่า ชาวบ้านสามารถนอนหลับได้แล้ว แต่ขอบอกว่าถึงหลับก็ยังหลับไม่สนิท จึงอยากจะขอร้องท่านผู้นำว่า ให้ช่วยพูดคำว่ายกเลิกโครงการออกมาให้ชัด ๆ และบอกว่าค่าเสียหายที่เกิดจากโครงการนี้ทั้งหมด ท่านจะยอมชดใช้ตามจำนวนที่จ่ายออกไปจริงๆ ทีเถอะ เจ้าประคุณเอ๊ย สาธุ ๆ
ไม่ได้ขอมากไปใช่ไหม แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า บ๊าย..บาย