Skip to main content

รักเขาอยู่ดี (ผู้ชายในชีวิต)

คอลัมน์/ชุมชน


1


ความคิดถึงมีเหตุผลไหม แล้วความรักล่ะ ?


 


2


มีผู้ชายเพียงไม่กี่คนในชีวิต ที่มักวนเวียนในความรู้สึกนึกคิดของฉัน คนหนึ่งเป็นหนุ่มฟันสวย ผิวสีน้ำตาลเข้ม ช่วงแขนและไหล่แข็งแรงจนหลายคนคิดว่าเขามาจากแถบทะเลใต้


 


แต่เปล่า เขาแค่เป็นคนจังหวัดอื่น ย้ายมาอยู่ในอำเภอเล็กๆ ของเรา มีมอเตอร์ไซค์เก่าๆ หนึ่งคัน หน้าบ้านโย้เย้มีต้นตะขบตกลูกร่วงเกลื่อน มีพ่อหูตาฝ้าฟางเต็มที และมีพี่สาว เธอที่เคยสังกัดชมรมนักกลอนบางแห่งในภาคเหนือ ใช้นามปากกาว่า "ดาวพระศุกร์"


 


วันที่ผู้ชายคนนี้ตัดสินใจลาบวช พี่สาวของเขาปั่นจักรยานมาไกลกว่าห้ากิโลเมตร ผ่านแดดร้อนเปรี้ยง เพื่อถามฉันว่า เกิดอะไรขึ้น


 


 "ไม่รู้ ฉันไม่ทราบ" ไม่ได้กวนประสาท แต่เป็นคำตอบจากข้างในจริงๆ


 


ในเวลานั้น หลายๆ คนที่เรารู้จัก มักจะคิดว่าเราเป็นคู่รักกัน...หรือเปล่า แต่ถ้าการที่เขาขับมอเตอร์ไซค์มาหาในยามดึกดื่น ยืนตะโกนบอกหน้าบ้านว่า "คิดถึง" หมายถึงการกระทำแบบคนมีใจต่อกัน หรือการที่เขาให้เวลา ให้การช่วยเหลือหลายอย่างในการจัดทำจุลสารทำมือ สมัยที่ฉันยังหลงใหลอยู่ในความฝันของนักอ่าน – เขียน เป็นคนพาฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ "อ้ายเฒ่า" เขาเรียกมันอย่างนั้น โลดแล่นไปกลับตัวอำเภอ – หมู่บ้าน ไปไกลกระทั่งในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อทำธุระหลายอย่าง


 


ครั้งหนึ่ง เราเคยไปหาเช่าหนังมาฉายด้วยกัน ตอนนั้นฉันบ้าบอเป็นไรไม่ทราบ ริจัดฉายหนังการกุศลหาทุน หนึ่งหนุ่มและหนึ่งสาว (แสนโทรม) นั่งรถเมล์จากอำเภอพร้าว เข้าไปถึงตัวเมืองเชียงใหม่ เงินจำนวนน้อยนิดเก็บไว้ให้ค่าเดินทางเป็นหลัก หลังตระเวนเข้าออกร้านหนัง เลือกและเจรจาต่อรอง วางมัดจำ (ด้วยเงินที่กู้ยืมมา) เสร็จธุระเอาบ่ายแก่ๆ


 


แล้วเราก็เดินย่ำต๊อกบนถนนที่คลุ้งควันรถ ไอแดด แม้เมืองเชียงใหม่สมัยนั้นจะสะอาดและเงียบสงบกว่าตอนนี้มากนัก แต่หมู่บ้านที่เราออกมาก็สะอาดกว่า เงียบกว่า มากกว่าหลายเท่าตัว


 


แล้วเราก็หิวข้าว


……………..


ยังจำได้ เรานั่งกินข้าวกันในร้านข้างป้ายรถเมล์ ที่โน่นต้องเรียกว่า "คิวรถบัส" เป็นเพิงโย้เย้มุงด้วยสังกะสี มีหม้อแกงใส่อาหารเหนือเรียงราย แมลงวัน ฝุ่น เสียงเร่งเครื่องยนต์ เสียงคนคุยกัน การไอจามขากเสลด ตลอดจนการตะโกนหยอกล้อระหว่างพนักงานเก็บตั๋วโดยสารกับพนักงานตรวจตั๋วที่รอเวลาทำงาน เหล่านั้นอึงอลอยู่ในบรรยากาศ


 


เราปั้นข้าวเหนียวด้วยมือดำๆ เปื้อนเหงื่อก็เช็ดกับหลังกางเกง สั่งลาบคั่วกับจิ้นอ่อมมาอย่างละถ้วย อาศัยว่าเขาให้ผักมาแกล้มพูนจาน กินไปมองหน้ากันไป


 


เขาตัดผมสั้น เคราเขียวจางๆ เป็นปื้น หล่อเหลาเอาการแม้ในแสงสลัวใต้เพิงเก่าแก่ แต่ฉันสิ ผมเผ้าเริ่มยาวกระเซิง รำคาญนักก็จึงรัดหนังยางไว้ลวกๆ แถมยังใส่เสื้อสีชมพูแปร๋น เป็นเชิ้ตลายตาราง พับแขนเหนือข้อศอก กึ่งหญิงกึ่งชาย ถ้าใครคิดว่าเขามากับกะเทยคงไม่แปลก


 


แล้ววันนั้นก็ผ่านเราไป มีความทรงจำที่ดีร่วมกันอีกหลายอย่าง แต่วันไหนก็ไม่ตรึงตราเท่าวันนั้น ฉากไม่สวยเลยสักนิด พระเอกนางเอกทรุดโทรมสิ้นดี แต่วันนั้นกระมังที่ฉันรู้สึกว่าเราเข้าใกล้กันมากที่สุดแล้ว


 


จนถึงวันที่เขาออกบวชโดยบอกกับทางบ้านว่า "จะบวชตลอดชีวิต" ไม่มีใครเข้าใจได้ ฉันเองก็ไม่เข้าใจ


 


ชายหนุ่มคนเดียวนี้เองที่เคยพาฉันซ้อนมอเตอร์ไซค์ขับไปบนทางลูกรัง ผ่านทุ่งนา ฟ้ากว้าง ให้ลมหอมปลิวมากระทบเนื้อตัว แล้วชวนฉันว่า "เราทำน้ำเต้าหู้ขายกันไหม ให้พ่อกับพี่ช่วย ผมจะหารถเล็กๆ สักคันมาขับรับส่ง"


 


เป็นงง เป็นงงตราบเท่าทุกวันนี้ ใครบางคนช่วยวิเคราะห์ว่า ชะรอยเขาจะรู้ว่าอยู่กับฉันไปรักไม่ยั่งยืน ฉันผูกพันกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อ้ายเขาเองถ้าต้องการบทบาทสามีและพ่อ ประตูบานนี้ปิดสนิทสำหรับเรา


 


แต่นั่นเป็นแค่การคาดคิดแบบสนุกๆ ความจริงอาจเป็นแค่เขาเบื่อชีวิตที่เป็นอยู่ เข้าใจโลกในมุมมองของเขา แสวงหาความสงบร่มเย็น หรือความรักระหว่างเราแสนสั้นเหมือนฟองสบู่ในอากาศ อาจบางทีไม่ใช่เสียด้วยซ้ำ


 


กลับบ้านไม่นานมานี้ ฉันยังแวะเวียนไปวัดที่เขาจำพรรษาอยู่ ถามถึงเพื่อจะพบว่าเขาไม่อยู่ เณรน้อยบอกว่า "ท่านไปวัดหลังภูเขา" ได้แต่ฝากใจน้อมรำลึกถึงแล้วเดินตัวปลิวออกมา โล่งใจ


 


โล่งใจเพราะยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่า ถ้าเราเจอหน้ากันจริงๆ (มีคนเคยบอกว่า ฉันกลับบ้านและไปตลาดหน้าวัด เห็นท่านยืนมองฉันอยู่ไกลๆ ภายหลังก็มาถามกับพ่อว่าฉันสบายดีไหม) ถ้าได้เจอกัน ฉันจะรู้สึกอย่างไร


           


3


ผ่านไปแล้วหนึ่งคน ยังมีผู้ชายอีกสองสามคนที่อยู่ในความทรงจำ บางครั้งรางเลือน บางครั้งแจ่มชัด หนึ่งในนั้นฉันรู้สึกเกลียดเขาเมื่อเวลาผ่านไป แต่อีกคนบอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรแน่ อาจแค่เฉยๆ แค่คนเคยกิ๊กกัน  :-)


 


แต่ยังมีผู้ชายอีกคน ฉันเพิ่งพบกับเขาไม่กี่วันมานี้ ที่บ้าน ที่ดินแดนแห่งความหลัง ที่ที่ฉันเคยหอบกล้าอ่อนต้นกาหลาขึ้นรถไฟไปปลูก แล้วเขาก็ช่วยถนอมกล่อมเกลี้ยงมันไว้ กลับไปคราวนี้ได้เห็นดอกไม้ผลิช่อแทงขึ้นจากดิน เขาไม่รู้หรอกว่าดอกไม้ชนิดนี้มีความหมายกับฉันแค่ไหน งานเขียนในนามปากกานั้นเขาก็ไม่เคยอ่าน แต่แค่รู้ว่าเขาเอาใจใส่มัน ฉันก็พึงพอใจ


 


กับคนๆ นี้ เราเคยมีความทรงจำร่วมกันหลายอย่าง เกี่ยวกับดอกไม้ก็มี


 


4


มีวันหนึ่งแดดร้อนเปรี้ยงๆ เขาพาฉันซ้อนท้ายจักรยาน ปั่นออกจากบ้านไปตัวอำเภอ ธุระอะไรสักอย่างของเขา แต่แม่อนุญาตให้ฉันไปด้วย เราขี่จักรยานไปด้วยกันผ่านแดดร้อนระเบิดระเบ้อ ผ่านหมู่บ้านอื่นๆ ผ่านนา ผ่านเหมือง (ลำธาร) นึกถึงถนนลูกรังยาวหกกิโลเมตร รถถีบลมอ่อนยิ่งนั่งนานยิ่งเจ็บก้นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็อดทน


 


ฉันเฝ้ามองแผ่นหลังกว้างใหญ่ชุ่มเหงื่อ เหม็นเหงื่อชะมัด ทำไมเขาต้องใส่น้ำมันทาผมด้วย ทำให้ฉันยิ่งเหม็นขึ้นอีกเท่าตัว ว่าแล้วก็หันหน้าหนีไปมองทิวทัศน์รอบๆ


 


ไปสะดุดตาเข้ากับช่อดอกไม้เล็กๆ ริมทาง ต้นสูงจากดินประมาณฟุตครึ่ง แผ่ใบและก้านออกรอบช่อดอกสีส้ม ส้มอะไรซ้วย สวย ! ตัดฉึบฉับกับดินสีแดงและฟ้าสีฟ้า มองอีกทีก็กลมกลืนกับตลิ่งลำเหมือง


 


ฉันกระตุกชายเสื้อเขา ชี้ชวนให้ดู ร้องบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยิ่งนัก "ดอกไม้ ดอกไม้ซ้วย สวย!" แต่เขาเพียงเหลือบตามองแล้วเมินไป ฉันใจเดือดเป็นน้ำในกา เออ ไม่สนใจเลยใช่ไหม เออ ต่อไปอย่าหวังเลยว่าฉันจะเป็นอย่างที่เขาต้องการ!!


……………………..


เขาทำธุระของเขาเสร็จทุกอย่าง โดยมีฉันหน้างอง้ำอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา ถามอะไรไม่พูด จับมือก็สลัดออก!


 


ใกล้ถึงเวลากลับ เขาบ่นว่าหิวแล้วและชวนฉันเข้าร้านก๋วยเตี๋ยว ดูซิ เงินทองไม่มียังอยากนั่งเต๊ะกินอาหารชั้นสูง สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารชั้นสูงจริงนะ ใช่หากินได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีในงานวัด (ซึ่งนานๆ จะมีสักที เฉลี่ยปีละไม่เกิน 3 ครั้ง) ก็ต้องเดินทางไปกินยังถิ่นที่เจริญ บางบ้าน ซื้อก๋วยเตี๋ยวหนึ่งถุงกินได้ทั้งครอบครัว (จิ้มข้าวเหนียว เป็นกับข้าวอย่างหนึ่ง) ในเวลานั้นฉันจึงหมั่นไส้เขานัก


 


เขาจอดจักรยาน เดินสง่าผ่าเผยเข้าร้าน ร้องสั่งอย่างคุ้นเคย ทักทายใครต่อใครไม่เว้นแม้แต่คนขาย ดูสนิทสนมกันดี แต่ฉันซิ ฉันยืนตากแดดอยู่หน้าร้าน


 "อ้าว นั่นเป็นอะไร ทำไมไม่เข้ามากินก๋วยเตี๋ยว"


คนขายถามเขา เขาก็รีบกวักมือเรียก


 "มาสิ เข้ามากินก๋วยเตี๋ยวก่อน"


 "ไม่" ฉันปฏิเสธ และไม่ ไม่ ไม่ อีกหลายหนจนเขาเลิกชวน


 


ในที่สุด เขาก็นั่งกินก๋วยเตี๋ยวคนเดียว รีบร้อนไปทำไมไม่ทราบ อาจจะอายก็ได้ที่มีใครคนหนึ่งยืนรออยู่เพียงลำพังหน้าร้าน


 


นานแสนนานต่อมา เขาเคยถามอยู่ทีว่า "ทำไมตอนนั้นไม่เข้าไปกินด้วยกัน" แต่ต่อให้ความสัมพันธ์ของเรากลับมาดีเพียงไร ฉันก็ไม่มีวันบอกเขาหรอกว่า จริงๆ ตอนนั้นฉันไม่มั่นใจการใช้ตะเกียบของตัวเอง  อ้าว อย่าหัวเราะนะ ตอนนั้นคิดอย่างนั้นจริงๆ และก็สะท้อนว่าฉันไม่มีความไว้วางใจในเขา ไม่สามารถนั่งกินข้าวโดยใช้อุปกรณ์สมัยใหม่ (แหม ปกติใช้มือนี่) เกิดคีบหลุด คีบหลุด ถูกเขาหัวเราะเยาะขึ้นมาจะว่าไง


 


เขาจึงได้แต่มองหน้าแบบไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น ทั้งที่ปกติเขาเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย


แล้วเราก็ขี่รถกลับด้วยกัน


……………………..


ผ่านมายังทางเดิมอีกหน เหม็นเหงื่อ เหม็นน้ำมันแต่งผมตามเคย แต่ช่างเถอะ เขาได้กินแล้วดูมีแรงดีนี่ ปั่นจักรยานละมุนขึ้น ฉันจึงอารมณ์ดีอีกนิด เขาผิวปากเป็นเพลงแว่วๆ อือ ก็เพราะเหมือนกันนะ


 


ผ่านยังจุดเดิม ที่ๆ ดอกไม้สีส้มออกดอกริมตลิ่ง ตรงนั้นเป็นลำเหมือ’เล็กๆ มีดินลูกรังลามรุกเข้าไปใกล้กอหญ้าและดินดำ จู่ๆ เขาก็จอดจักรยานกึก


 "ชอบดอกไม้หรือ"


 "ฮื่อ" ฉันตอบ ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาไม้ไหน แต่ก็ใจกล้าพูดออกไป


 "เอาไปปลูกได้ไหม"


 "ได้สิ" เขาตอบ


 


ครั้งนั้นเป็นภาพที่อยู่ในใจตลอดมา ชายร่างสูงใหญ่ สวมเชิ้ตสาบเหงื่อ ลงไปนั่งยองๆ ใช้มือเปล่ากับกิ่งไม้ที่พอหาได้แถวนั้น แซะต้นอ่อนดอกไม้จากดิน มีต้นเล็กๆ อยู่หลายต้น แล้วเขาก็ทะนุถนอมทั้งราก กิ่ง ใบ ปัดเป่าขี้ดิน ประคองใส่ผ้าขาวม้า เอาดินชุบน้ำหุ้มรากพอเปียก ก่อนวางลงในตะกร้าหน้ารถ


 


เราไม่พูดอะไรกันสักคำ ตลอดระยะทางที่ไกลแต่ก็เหมือนใกล้ เขาคิดอะไรฉันไม่อาจทราบ แต่กลิ่นผมกับกลิ่นเหงื่อของเขาในเวลานั้นหายไปไหนหมดสิ้น หรือลมมารับลอยไป หรือฟ้าที่สูงเหนือหัวบอกให้แดดแผดเผา จำได้แต่ว่า ในตา ในใจ ในความรู้สึกคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้เหมือนกัน!


 


กลับไปบ้านหนล่าสุดนี้ ผกากรองต้นนั้นไม่รู้อยู่ไหน เวลาผ่านมายี่สิบกว่าปี มีต้นไม้และพืชพันธุ์หลายชนิดงอกงามและตายลงภายในบริเวณบ้านของเรา พุทธรักษาริมฝั่งคลองเหลือแต่เหง้ากับใบที่แทงขึ้นมานิดหน่อย มหาหงส์ยังอยู่แต่ไม่ถึงฤดูผลิดอกขาว มะเฟือง มะม่วง ลำไย ตลอดจนต้นอื่นๆ อีกมากที่เขาเคยปลูก แม่และฉันและน้องเคยเห็น


 


บางต้นยังอยู่ บางต้นจากไป ไม้ใหม่หลายชนิดที่เขากับคู่ชีวิตของเขาในภายหลังร่วมกันปลูกไว้ก็ดูงอกงามดี ในที่ที่เคยเป็น "บ้าน" ทุกวันนี้ก็เรียกว่า "บ้าน" แต่บ้านในความรู้สึกนึกคิด กับบ้านที่หมายถึงเรือนซึ่งตั้งอยู่ ก็ดูจะมีช่องว่าง...ไม่มากก็น้อย


 


5


ไม่แน่ใจนักหรอก เอาเข้าจริงๆ ‘เขา’ มีความหมายกับฉันแค่ไหน


 


ถ้าความทรงจำเกี่ยวกับดอกไม้ครั้งนั้นจะเรียกว่า "รัก" เราก็คงรักกัน หรือวันที่เขาขี่จักรยานตากฝนไปหายืมหนังสือมาให้ฉันอ่าน, เริงร่าออกจากบ้านตอนเช้า เพื่อกลับจากตลาดด้วยขนมครบห่อสำหรับทุกคนในบ้าน, ตื่นแต่เช้าเพื่อกวาดใบไม้และสุมไฟให้ฉันกับน้องผิงเอาไออุ่น สรรหาของเล่นสารพัดชนิดให้เรา เอาใจอย่างที่ไม่มีใครเอาใจเราเท่านั้น


 


ฉันก็คงรักเขา


เราก็คงรักกัน


……………..


แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นเรื่องซับซ้อน ยิ่งเมื่อไหร่ที่เราแยกความรัก ความรู้สึก ออกจากพันธะสัญญา หน้าที่ หรือแม้แต่คำว่า สายเลือดเดียวกัน เมื่อตระหนักถึงความ "เป็น" ของมนุษย์แต่ละคน สิ่งที่เขา ฉัน และใครๆ เกี่ยวโยงกันอยู่ในชีวิตหนึ่งนี้ บางที อาจทำให้ในความรัก ความคิดถึง ความพึงพอใจ มีบางอย่างปะปน


……………….


ฉันตระหนักดีว่า จะอย่างไรก็ตาม ไม่ควรเขียนถึงเขามากไปกว่านี้ ระหว่างเรามีเรื่องราวมากมายและซับซ้อนเกินกว่าใครอื่นจะเข้าใจมัน อาจดีที่สุด บางที เราเพียงเก็บกันไว้ในความทรงจำ...บางส่วนเสี้ยว มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษเพราะเราเป็นสัตว์ช่างคิด คิดไปเสียทุกอย่าง คิดมากคิดน้อยแล้วแต่แต่ละคน และสำหรับฉัน ระหว่างฉันกับเขา เรามีเรื่องให้คิดต่อกันและกัน...เสมอมา


 


ความคิดถึงมีเหตุผลไหม แล้วความรักล่ะ ?


 


ดอกผกากรองต้นนั้นอาจหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในบริเวณบ้านริมคลองของเรา หรืออาจตายไปแล้ว ทั้งรากแก้ว รากฝอย ดินแดงและดำไม่อาจฉุดรั้งชีวิตไว้ได้ พืชพันธุ์ทุกชนิดเติบโตขึ้นตามอาหาร อากาศ และการทะนุถนอมดูแล


 


แต่ต้นไม้หลายชนิด แม้ไม่มีมนุษย์ถนอมกล่อมเกลี้ยง ก็เติบโตตามวิถีของมัน


 


ฉันถ่ายรูปคู่กับพ่อหลายรูป บางรูปมีน้องสาวเข้ามายืนเคียงคู่ด้วย ในแดดจางๆ เรายิ้มต่อกัน พ้นบ้านออกมาเขาจะมีน้ำตาหรือเปล่า


 


วันนั้นฉันกับน้องไม่มีน้ำตา แต่เมื่อนึกถึงแม่และพิธีศพซึ่งทำให้ต้นไม้หลายต้นในบ้านถูกตัดทิ้งเตียนโล่ง มะลิขาวกับกุหลาบหนูต้องหลีกทางให้กับงานเลี้ยงอำลา วันนั้นเขาก็ไม่มีน้ำตา  คล้ายจะมีแสงแดดฉายส่องที่เขาคนเดียวตลอดเวลาด้วยซ้ำ เช่นเดียวกับอีกหลายๆ คน ที่การจากไปของใครบางคนทำให้พวกเขาสบายใจ


 


เราจึงไม่มีน้ำตา แม้ขณะรถแล่นห่างจากบ้านออกมาทุกที ฟ้าสวย ฟ้าสูง ดอกหางนกยูงแดงฉานสะพรั่ง ภาพที่เขายืนยิ้มส่งเราหน้าบ้านยังจำติดตา ฉันกับน้องยิ้มตอบ พนมมือไหว้ แต่แล้วเราก็ลอยไปกับรถและถนนและอากาศ ผ่านไปกับโค้งคุ้งทุ่งเขา จากป่าเขาลำเนาไพรเพื่อไปสู่เมืองแสนไกล


 


6


ไกล ไกล ไกลทั้งจากแดดอุ่น ผกากรอง กาหลา กับหมู่ไม้อื่นๆ ที่ยืนต้นรอบบ้าน  บางที จากไปเพื่อจะมีใจคิดอยากกลับมา ความรักและความคิดถึงขึ้นอยู่กับสภาวะใด ต่างใจ ต่างคนต่างคิด แต่เท่าที่คิดออกตอนนี้ ฉันกับน้องอาจแค่ต้องการสถานที่ห่างไกล ให้เวลาเยียวยารักษา ฟื้นฟูตนเอง


 


 "แล้วจะมาใหม่"


 


ดังที่เรากระซิบฝากไป กับสายลม เมฆขาว ตะแบก ลมแล้ง ต้นไม้ทุกต้นบนถนนทุกสาย ถึงผู้ชายที่เรารับเค้าหน้าเขามาเล็กน้อย และจะอย่างไร ข้างในลึกๆ ของเรา


 


รักเขาอยู่ดี.


 


 


-------------------------------------------------------------------------------------------------------


 










































http://www.prachathai.com/05web/upload/Village/library/gallery/20050830…