ชายหนุ่มกับชะตากรรม : สาวร เสียงทองคำ
คอลัมน์/ชุมชน
คนเรามีเรื่องน่าจดจำมากมาย แต่บางเรื่องก็ไม่น่าจดจำ
เช่นเดียวกับชาวมอญบริเวณพรมแดนไทย-พม่า ที่เดินทางบนสายธารแห่งประวัติศาสตร์และเส้นทางชีวิต
เขาทุกคนล้วนมีเรื่องเล่าขานไม่รู้จบ
แต่บางคนบอกผมว่า หากเลือกได้ พวกเขาก็ไม่อยากจำ แต่ที่ไม่อาจปฏิเสธ .เพราะนี่คือชีวิตจริง!
1
พ.ศ. 2544
แดดโพล้เพล้สาดมายังบ้านไม้เล็กๆ สองชั้นที่ยังไม่เป็นรูปร่าง สาวร เสียงทองคำ ง่วนทำงานอยู่ท่ามกลางกองไม้เกะกะ ก่อนเสียงฝีเท้าและเสียงตะโกนจากเพื่อนบ้านดังขึ้น
"สาวร มีคนมาหา"
เขาละมือจากไม้ มองออกจากบ้านมาที่ผมด้วยความสงสัย
เช่นเดียวกัน ในความสงสัยที่ต่างออกไป ทำไมสาวรจึงสร้างบ้านกลางฤดูที่หุบเขาตะวันตกเย็นยะเยือกเช่นนี้
คนมอญที่อาศัยใกล้วัดวังก์วิเวการามส่วนมากรู้จักเขาดี เพราะเขาเป็นคนรณรงค์รักษาวัฒนธรรมประเพณี รวมถึงต่อต้านยาเสพติดในหมู่บ้านเสมอ และแน่นอนสาวรรู้เรื่องราวในพื้นที่มากพอตัว (เพราะหลายครั้งเขาบ่นกับผู้มาเยือนอย่างผมด้วยประเด็นร้อนไม่ว่ายาเสพติด สถานการณ์ฝั่งพม่า ปัญหาร้อยแปดประการที่เกิดในหมู่บ้านมอญ)
ก็ไม่แปลก เพราะสิ่งที่หล่อหลอมชายคนนี้ในวัยหนุ่มเป็นเรื่องการเมืองจริงๆ
* * * *
8 สิงหาคม 2531
การต่อสู้วันนั้นใช่เพียงคนพม่าเองที่หวังในประชาธิปไตย ชนกลุ่มน้อยต่างๆ ก็หวังเช่นกัน ด้วยพวกเขามั่นใจว่า เมื่อมีประชาธิปไตย ความเป็นอยู่รวมถึงสิทธิของคนกลุ่มต่างๆ ที่มีมากมายในพม่าจะได้รับการปรับปรุงมากขึ้น
หลายคนอาจไม่รู้ว่ากำลังส่วนหนึ่งที่อยู่บนท้องถนนในครั้งนั้นมีชนกลุ่มน้อยซึ่งผนึกกำลังกับประชาชนพม่าผู้รักประชาธิปไตยอย่างแข็งขันด้วยจำนวนไม่น้อย
สาวรก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในระดับแกนนำ
"ผมเป็นเบอร์ 4-5 อะไรนี่แหละ ตอนนั้นมีการประชุมกันหลายฝ่ายเพื่อวางแผนการเคลื่อนไหวมวลชน"
แต่สัจธรรมคือ เผด็จการที่ไหนจะยอมปล่อยอำนาจให้หลุดมือง่ายๆ
การชุมนุมตามหัวเมืองต่างๆ ในครั้งนั้นทั่วพม่าถูกรัฐบาลทหารปราบรุนแรงด้วยกระสุน (จากภาษีประชาชน) มหาวิทยาลัยย่างกุ้งซึ่งเป็นจุดรวมตัวของกลุ่มแกนนำนักศึกษารวมถึงชนกลุ่มน้อยก็ถูกปิดลง
สาวรต้องซมซานหลบหนีเผด็จการมาเมืองไทย
วันนี้ หลายคนอาจบอกว่าเขาเป็นผู้อพยพต่างด้าว
แต่เราคงต้องนิยามการเป็น "ผู้อพยพ" ของคนตามแนวชายแดนกันใหม่เมื่อพิจารณาเรื่องของสาวร
"ความจริงผมเกิดที่ทองผาภูมิ แต่ก็มีญาติอยู่ที่ฝั่งพม่าด้วย"
เรื่องของสาวรกระตุ้นเตือนว่า หากเราลองลบเขตแดนรัฐชาติให้หมด จะพบว่าในอดีตคนแถบนี้ไปมาหาสู่กันได้อิสระ ค้าขายแลกเปลี่ยนและเยี่ยมเยียนกันอย่างสม่ำเสมอ
ไม่แปลกเลยที่ปัจจุบันนี้มอญพระประแดง สามโคก และสังขละบุรีบางคนจึงเป็นญาติกัน แต่สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไปเมื่อเกิด "พรมแดนรัฐชาติ" ขึ้น
รัฐชาติคือ "ชุมชนในจินตนาการ" ซึ่งขีดเส้นเขตแดนจนทำให้ไทย-พม่า มีกำแพงสมมติกั้นกลาง
สิ่งนี้ไม่ร้ายแรง และไม่ผิด หากกำแพงสมมตินี้เป็นเพียงแค่ให้รู้อาณาเขตอธิปไตยของรัฐชาติที่เป็น "รัฐประชาชาติ" (หมายถึงมีคนหลายกลุ่มอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม) ราชการมีความเข้าใจ ใช้พรมแดนสมมตินี้อย่างถูกวิธี โดยรับรู้พลวัตความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยซึ่งคร่อมอยู่บนดินแดนเหล่านี้อย่างกระจ่างแจ้ง
แต่ปัจจุบันมันแย่ตรงที่ความเป็นรัฐชาติทำให้คนสัญชาติไทยซึ่งก็ไม่รู้ว่ามีบรรพบุรุษเป็นคน "ไทย" แท้สักกี่คนกัน ปฏิเสธการดำรงอยู่ของชนกลุ่มน้อยเกือบทุกกลุ่มด้วยเหตุผลว่าพวกเขาไม่ใช่ "คนไทย"
แต่พวกเขาลืมถามตัวเองว่า "ไทย" คืออะไร มาจากไหน และเกิดขึ้นเมื่อไร????
* * * *
สาวรใช่จะไม่อาลัยหลังเหตุการณ์เขาก็เหมือนคนมอญหลายคนที่คิดถึงแผ่นดินซึ่งบรรพบุรุษเคยอาศัยอย่างสุขสงบอีกฟาก แต่ปัจจุบันโดนทหารพม่าย่ำยีด้วยการยึดครอง ปล้น จี้ ข่มขืน กวาดทรัพยากรไปใช้อย่างหน้าตาเฉย จนสถานการณ์บังคับให้เขาต้องหนีออกมาในที่สุด
หลังหลบหนีออกมา สาวรก็มาพึ่งบารมีหลวงพ่ออุตตมะที่สังขละบุรี
ที่นี่เอง เส้นทางชีวิตก็พาเขามาพบหญิงพม่าคนหนึ่งที่ลักลอบออกจากแดนมิคสัญญีเช่นเดียวกัน
เธอคนนั้นป่วยหนักจากมาลาเรียซึ่งมีอยู่ชุกชุมตามป่ารอยต่อชายแดนไทย-พม่า สาวรซึ่งรู้เรื่องยาสมุนไพรพื้นบ้านอยู่บ้างจึงมีโอกาสช่วยพยาบาลเธอขณะเจ็บป่วย
และความสงสารก็เปลี่ยนเป็นความรัก
นี่ไม่ใช่นิยายน้ำเน่า แม้เขาจะไม่ชอบทหารพม่า แต่ใช่หมายรวมชาวพม่าธรรมดา ความรักซึ่งไม่มีพรมแดนนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกและเกิดขึ้นในปีที่โบสถ์ (วัดวังก์วิเวการาม) หลังใหม่ของหลวงพ่ออุตตมะสร้างเสร็จนั่นเอง
ปัจจุบันทั้งคู่มีลูกสาววัยซน ซึ่งสาวรห่วงยิ่ง เพราะ "ไม่มีสัญชาติ ไม่มีอะไรทั้งสิ้น"
2
พ.ศ. 2545
"ซื้อขายยังกับขนม" การสัญจรมาสังขละบุรีทำให้ผมพบสาวรอีกครั้ง ครานี้เรื่องยาเสพติดในหมู่บ้านถูกระบายอย่างอัดอั้น ก่อนเขาบอกว่าห่วงประเทศไทย เพราะยาพวกนี้เสมือนข้าศึกที่ทำลายประชาชน
สาวรยังเหมือนเดิม อายุเขามากขึ้นอีกหนึ่งปี ทำงานที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์กับคนในบ้านป่าสักซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านมอญที่อยู่ใกล้วัดหลวงพ่ออุตตมะที่สุด
จดหมายข่าวมอญฉบับหนึ่งถูกกางให้ผมดู จดหมายนี้ทำขึ้นโดยชาวมอญที่ตั้งรกรากในเมืองไทย หลังจากอ่านก็พบว่าเนื้อหามุ่งส่งเสริมวัฒนธรรมมอญ ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า รวมถึงบอกข่าวสารกิจกรรมชาวมอญในไทย
สายเลือดมอญยังเข้มข้นในตัวเขา
"วัฒนธรรมมอญผมยังสามารถรักษาได้อยู่ แม้อิทธิพลภายนอกจากสื่อพวกโทรทัศน์และวิทยุเข้ามา เด็กๆ ที่นี่รับหมด แต่ยังไม่ทิ้งของเดิม อย่างหิ้งบูชาวิญญาณที่ติดบ้านชาวมอญที่นี่ยังคงมีทุกบ้าน"
ซึ่งปัจจัยใหญ่ก็ยังมาจากอริยบุคคลอย่างหลวงพ่ออุตตมะ "หลวงพ่ออุตตมะท่านเป็นหัวใจที่สำคัญมากของหมู่บ้านในเรื่องเหล่านี้" เพราะวัฒนธรรมมอญที่ยังอนุรักษ์เอาไว้ได้นั้น มีงานที่ออกงานเดียวคือ "วันเกิดหลวงพ่อ"
"ที่นี่เหมือนสวนสัตว์เปิดนะ ."
สาวรเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ และปล่อยคำนี้ออกมาด้วยแววตาจริงจัง
"มีคนเข้ามาดู มาศึกษาคนมอญ แต่คนมอญที่นี่ออกไปไหนไม่ได้ จะโดนไล่เมื่อไรก็ยังไม่รู้"
3
ภายใต้หน้ากากที่ ททท. สวมให้กับหมู่บ้านมอญสังขละบุรี ที่แห่งนี้มีเรื่องราวมากมายซุกซ่อนอยู่
พ.ศ. 2546
สายน้ำเหมือนเดิม แปลกตาไปคือถนนตัดใหม่และรีสอร์ทที่ถูกปรับปรุงเป็นการใหญ่เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่แห่กันมาชมความงามของเมืองบาดาลจากการส่งเสริมของหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชน
ปราการขุนเขาตะนาวศรีที่ส่วนหนึ่งเคยกางกั้นอำเภอสังขละฯ กับตัวเมืองกาญจนบุรีไร้ประสิทธิผลในการกรองนักท่องเที่ยวสิ้นเชิง การคมนาคมอันสะดวกสบายจนสามารถขับรถถึงได้ภายในวันเดียว แม้ใช้เวลามากกว่า 3 ชม. นำหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามา
ส่วนหนึ่งของเมืองบาดาล
ต่างกับสมัยที่หลวงพ่ออุตตมะมาที่นี่ใหม่ๆ ตอนนั้นใครอยากไปกรุงเทพฯ ต้องเดินป่านั่งเรืออย่างเดียว ผมเจอไกด์ท้องถิ่นตัวน้อย ซึ่งไม่เคยมีบนสะพานไม้เมื่อปีก่อนๆ มาคอยแนะนำสถานที่ นี่อาจถือเป็นมาตรวัดบางอย่างที่บอกว่าที่นี่ "บูม" ขนาดไหน ดัชนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือสภาพน้ำที่เริ่มขุ่นลงไม่ใสสะอาดเหมือนก่อนอันเนื่องจากการทำกิจกรรมต่างๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวริมฝั่ง
อนาคตคงน่าเป็นห่วง เพราะน้ำที่ผมเห็นนี่ก็คือน้ำเหนือเขื่อนที่ส่วนหนึ่งนำไปใช้ในการเกษตร ผลิตไฟฟ้า น้ำประปาให้กับคนพื้นราบได้ใช้กินกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
4
สะพานมอญ สะพานอุตมานุสรณ์ ที่เป็นสะพานแห่ง "ใจ" ของชาวมอญสังขละบุรี ขณะนี้มีสะพานสีแดงเพื่อการท่องเที่ยวขึ้นอยู่เทียบด้านหนึ่งของสะพานฝั่งตัวอำเภอในแบบที่ออกแบบได้ "แย่" ที่สุด
พ.ศ. 2547
"สะพานที่เห็นนั่นเรียกสะพานแดง" สาวรชี้สะพานไม้ประหลาดที่โผล่มาในปีนี้ โดยมีเอกลักษณ์คือตัวสะพานทาสีแดงสดทั้งหมด
แน่ละ สะพานเกิดใหม่มาพร้อมกับการปรับปรุงภูมิทัศน์หลายเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
แต่สำหรับสาวรแล้ว สะพานไม้อุตมานุสรณ์เดิมนั้นสำคัญที่สุด เพราะเป็นสะพาน "ใจ" ที่ไม่ได้เกิดจากเครื่องจักร แม้ดูเก่าซอมซ่อ และสีไม่สดใสเหมือนของใหม่
"สะพานไม้ไม่มีทางเกิดขึ้นหากขาดหลวงพ่อและความร่วมมือจากชาวบ้าน" เขาย้ำ ก่อนกล่าวว่าไกด์ท้องถิ่นรวมถึงชาวบ้านส่วนมากไม่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวที่มา เป็นนายหน้าบริษัททัวร์ภายนอกมากกว่า
"หากพม่ายังเป็นแบบนี้ผมคงไม่อยากกลับไป อยู่ที่นี่ผมรักที่นี่ แต่ยังรู้ตัวเสมอว่ามาจากไหน บรรพบุรุษเป็นใคร รักประเทศไทยมากพอๆ กันกับแผ่นดินมอญ เพราะให้ที่อยู่ผม มีบุญคุณมาก"
วันนี้สาวรหาทางมีชีวิตอย่างสงบในแผ่นดินที่ให้โอกาสกับเขา (?)
ยังคงพยายามรักษาวัฒนธรรมมอญ สอนหนังสือมอญให้กับเด็กในหมู่บ้าน ไม่คิดมากถึงอนาคต ทำตรงหน้าให้ดีที่สุดอย่างไม่หวั่นเกรงเส้นทางชะตากรรมที่ทอดยาวไกลสำหรับคนที่ถูกตีตราว่า "ต่างด้าว"
บน "ถนนชะตากรรม" เวลานี้ นี่คือสิ่งที่คนตัวเล็กๆ อย่างเขาทำได้ ã
แสงอาทิตย์สาดส่องสะพานมอญ