เทคนิคใดเล่าจะดีเท่า ความเข้าใจ
คอลัมน์/ชุมชน
ประชุ้ม ประชุม ๆ ๆ ๆ
หลายคนเชื่อว่าการประชุม จะทำให้เกิดการพูดคุย เกิดการระดมสมอง และการประชุมยังสามารถ แก้ปัญหาต่างๆ ได้ ดังนั้น จึงมีผู้คิดค้นเทคนิคการประชุมมากมาย ทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ
ผู้เขียนซึ่งเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ และก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ทางด้านวิชาการน้อยมาก จึงไม่สามารถบอกชื่อทฤษฎีเหล่านั้นได้ ในอดีต เมื่อมีการประชุม ผู้เขียนเป็นได้แค่เพียงผู้เข้าร่วมประชุมคนหนึ่งเท่านั้น แรกๆ ที่เข้ามาโลดแล่นในวงการผู้นำชุมชนหรือที่เรียกว่าพวกที่ชอบยุ่ง(เสือ ) เรื่องของชาวบ้าน ยุคก่อนรัฐธรรมนูญปี 40 ไปซัก 10-15 ปี ยุคนั้นการประชุมทั้งหมดมีลักษณะแบบเป็นทางการ หากชาวบ้านชุมชนไหนจะจัดประชุมต้องเชิญข้าราชการในพื้นที่ เข้าไปร่วมประชุมด้วย และหากการประชุมใดไม่มีข้าราชการเข้าร่วมการประชุมนั้นจะถูกเรียกว่า "การประชุมเถื่อน" ไม่ใช่เพียงราชการเท่านั้นที่คิดอย่างนี้ แม้แต่ชาวบ้านด้วยกันเองก็ยังไม่ยอมรับ
ดังนั้น การที่ผู้นำชุมชนสมัยนั้น จะทำอะไรก็ต้องอยู่ในสายตาของข้าราชการทั้งหมด เหมือนบท เพลงที่ว่า "พอศอสองพันห้าร้อยสี่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม ชาวบ้านต่างมาชุมนุมมาชุมนุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี" แล้วมีเนื้อเพลงตอนที่สำคัญคือ "ทางการเขาสั่งมาว่า" นั่นหมายถึงผู้คนในประเทศต้องปฏิบัติตัวตามคำสั่งของทางราชการ นับตั้งแต่มีแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 จึงทำให้ชาวบ้านขาดโอกาสในการใช้ความคิด ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
แล้วมาวันหนึ่งเมื่อเศรษฐกิจของประเทศเซซุนครั้งร้ายแรง แต่ในเรื่องร้ายก็มีเรื่องดี วิกฤติทำให้เกิดโอกาสเสมอ ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น ดังนั้น ในขณะที่บ้านเมืองเกิดปัญหา ประเทศไทยก็ได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนปี 40 (เขาว่ามาอย่างนั้น) มาเป็นกฎหมายหลัก ซึ่งหากจะพูดให้ชัดคือกฎหมายที่กำหนดทิศทาง การบริหารจัดการประเทศนั่นเอง
และเมื่อรัฐธรรมนูญเปลี่ยนไป หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลง คนทำงานในท้องถิ่นเริ่มตื่นตัวเมื่อมีเงินจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ชุมชน (กองทุนเพื่อสังคม หรือ sif ) ซึ่งแต่เดิมคนทำงานในชุมชนไม่เคยมีเงินมาช่วยในการทำงานมาก่อน จึงทำให้มีคนทำงานด้านนี้น้อยมาก แต่เมื่อมีตัวเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้เกิดทีมทำงานเพื่อชุมชนเพิ่มขึ้นมากมาย เรียกว่าแย่งกันทำดีจนฝุ่นตลบเลยทีเดียว ทำให้การประชุมของชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องมีราชการร่วมด้วยก็ได้
เส้นทางการไหลของเงิน ไหลลงสู่ชุมชนโดยตรง ตามโครงการที่ชุมชนเสนอไป จะมากจะน้อยอยู่ที่เนื้องานตามโครงการนั้นๆ โดยไม่ผ่านส่วนราชการเป็นครั้งแรก แต่ผ่านมาทางผู้นำชุมชนที่เป็นชาวบ้านจริงๆ บวกกับกระแสการมีส่วนร่วมของรัฐธรรมนูญ ทำให้ชาวบ้านตื่นตัวเป็นอย่างมาก จุดนี้เป็นจุดหักมุม เพราะเงินกับแนวคิดทฤษฎีการประชุมแบบมีส่วนร่วมเข้ามาแพร่ระบาดสู่ชุมชนพร้อมๆ กัน นั่นคือทฤษฎีการประชุมแบบประชาคม
การประชุมแบบนี้ มีการใช้เทคนิคที่ทำให้ผู้เข้าร่วมการประชุมมีความรู้สึกคล้อยตามและตื่นเต้นกับเทคนิคการประชุมที่ชาวบ้านไม่เคยคุ้นกับมันมาก่อน ทั้งเทคนิคการบันทึกการประชุม เทคนิคการระดมความคิด "mindmapping" และเทคนิคที่ทำให้คนที่ไม่ชอบพูด แสดงความรู้สึกออกมาได้โดยผ่านการเขียน "metaplan"
เทคนิคแรก ใช้บันทึกความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมลงในกระดาษแผ่นใหญ่ ที่ติดไว้ในที่ๆ ทุกคนมองเห็น มีการเขียนทุกความคิดของผู้เข้าร่วมประชุมลงไปในกระดาษ เพื่อให้ทุกคนที่เข้าประชุมดูว่า เขาคิดอะไรไปบ้างแล้ว และหากยังมีคนไม่พูดในเวทีเดียวกันก็จะใช้เทคนิคที่สอง คือแจกกระดาษแผ่นเล็กๆ ให้เขียนแทนการพูด เทคนิควิธีการเหล่านี้เข้ามามีอิทธิพลมากในกลุ่มของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคนทำงานเพื่อสังคม (รวมผู้เขียนด้วย) ขณะนั้นพวกเราคิดว่ามันคือสุดยอดแห่งเทคนิคการประชุม และที่แปลกก็คือทฤษฎีการประชุมแบบนี้ชาวบ้านใช้เป็นก่อนราชการ แสดงว่าชาวบ้านก้าวนำส่วนราชการไปนิดหนึ่ง
แต่เมื่อมีเกิดก็ต้องมีดับ การประชุมแบบประชาคมแพร่ระบาดว่องไวกว่าโรคร้ายเสียอีก อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกว่ามันคือสุดยอด ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานไหนจัดประชุม ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ เอกชน ชุมชน องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สถาบันการศึกษาทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ที่หลั่งไหล (แย่งชิง) กันลงชุมชน เหมือนสายน้ำหลาก ชาวบ้านไม่เป็นอันทำมาหากิน
ยิ่งหากเป็นชาวบ้านคนไหนที่ชอบแสดงความคิดเห็นในเวทีบ่อยๆ จะยิ่งได้รับเชิญประชุมมาก จนเหมือนศึกแย่งชิงชุมชนของแต่ละหน่วยแต่ละสำนัก โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐที่แสดงออกชัดเจนมาก และยิ่งมีนโยบายรัฐบาลทั้งเรื่อง OTOP เรื่องกองทุนหมู่บ้าน และนโยบายอื่นๆ อีกมากมาย เรียกว่าประชุมกันแหลกราญ ประชุมจนอ่อนอกอ่อนใจ ประชุมจนกลัวการประชุม
เทคนิคที่เคยคิดว่ามันคือสุดยอด เลยกลายเป็นความซ้ำซาก ทำให้ชาวบ้านเบื่อการประชุม จนไม่สามารถเรียกประชุมได้ หรือหากเรียกได้ก็จะมีแต่พวกพ้องของผู้จัดประชุมเท่านั้นที่เข้ามาร่วมประชุม
เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามตอนหน้านะจ๊ะ