Skip to main content

เจริญ

คอลัมน์/ชุมชน









































พูดถึงคำว่า " เจริญ" คงมีคนคิดว่าผู้เขียนคงจะเขียนถึง คุณเจริญ วัดอักษร เป็นแน่ แต่ไม่ใช่
คำว่าเจริญในที่นี้คือความเจริญทั่ว ๆ ไป เช่น ความเจริญของถนนหนทาง ความเจริญของผู้คนทั่วไป พอพูดถึงความเจริญก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงอดีตที่ผ่านมา

 

เมื่อครั้งบ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนในปัจจุบัน โดยเฉพาะผู้คนในท้องถิ่นห่างไกล ที่ใคร ๆ เรียกว่า บ้านนอก ( วันนี้ถูกเรียกว่าพวกรากหญ้า) แต่ก่อนเวลาจะเข้าเมืองมันช่างแสนยากลำบาก ต้องไปนั่งรอรถที่หัวถนน วันหนึ่งมีรถไปในเมืองเที่ยวเดียว และก็กลับเที่ยวเดียว

 

ใครที่จะไปในเมืองก็ต้องไปรวมกันที่หัวถนน เมื่อคนมารวมกลุ่มกันก็ต้องเกิดการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันเพื่อฆ่าเวลาการรอรถ พอขึ้นรถก็คุยกันต่อไปอีกจนกว่าจะถึงในเมือง และต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปซื้อของ เมื่อซื้อเสร็จก็กลับมานั่งรอรถร่วมกันอีก ไม่ว่าใครจะซื้ออะไรมาในราคาเท่าไร ชาวบ้านรับรู้ร่วมกันหมด จนทำให้แม่ค้าไม่กล้าขายของผิดราคา เพราะรู้ว่าข้อมูลสื่อสารถึงกันหมด

 

ดังนั้นไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรตรงซอกไหนของหมู่บ้าน ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านเป็นต้องรับรู้ร่วมกันหมด มองเหมือนลำบากแต่ก็เป็นความลำบากที่แสนจะอบอุ่น

 

ปัจจุบันความเจริญก้าวเข้าในชุมชนอย่างรวดเร็ว จนชาวบ้านตั้งตัวไม่ทัน ไหลไปตาม กระแสแห่งความเจริญ อย่างไร้หลักให้ยึดเหนี่ยว ถนนหนทางตัดผ่านเข้าไปทุกซอกซอย ตามความต้องการของชาวบ้าน และเพื่อผลงานของทั้งนักการเมืองระดับประเทศและนักการเมืองท้องถิ่น ( ถนนเป็นผลงานที่ชัดเจนจับต้องได้ และยังสร้างความมั่นใจให้กับนักการเมืองได้ว่า งวดหน้าได้คะแนนแน่)

 

การสื่อสารก็ก้าวล้ำทันสมัยคนไม่ต้องมาเจอหน้ากัน ได้ยินแต่เพียงเสียงก็สามารถคุยกันได้ แต่เป็นการคุยกันในเวลาที่จำกัด คุยกันเฉพาะเรื่องที่คนโทรมาต้องการจะพูด เรื่องอื่นห้ามพูดเพราะเปลืองเงิน ( เวลาเป็นเงินเป็นทอง) ชาวบ้านคุยกันน้อยลง บรรยากาศหัวถนนหายไปไม่มีการรวมกลุ่มพูดคุยกันให้เห็นอีก

 

การนั่งรถเมล์ร่วมกันไม่มีอีกแล้ว เพราะเมื่อถนนเข้าถึงหัวบันไดบ้านต่างคนก็ต่างดิ้นรนซื้อรถ คนมีเงินมากก็ซื้อรถกระบะ คนมีเงินน้อยก็ผ่อนรถจักรยานยนต์ เวลาเข้าเมืองก็ขับรถเข้าไปคนเดียวยิ่งเป็นรถจักรยานยนต์ ยิ่งไม่ได้พูดกับใครเลยเพราะนั่งไปคนเดียวหรือนั่ง 2 คนก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเพราะลมมันแรง

 
คนในชุมชนเดียวกันเริ่มเหมือนอยู่ห่างไกล ไม่รับรู้เรื่องของผู้อื่นอีกแล้ว ตัวใครตัวมันไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เพราะมีภารกิจล้นพ้นตัว รถก็ต้องผ่อน ลูกก็ต้องเข้าไปเรียนในเมืองใช้เงินมากทั้งนั้น แล้วยังมีอื่น ๆ ที่ต้องซื้อให้ทัดเทียมเพื่อนบ้านอีก ทุกอย่างมีแต่การแข่งขัน เวลาที่เคยมีเคยใช้พูดคุยกันก็หมดไป ทุกอย่างในชีวิตเป็นเรื่องเร่งรีบไปหมด การสื่อสารยิ่งเจริญเท่าไร ก็เหมือนถูกตัดขาดจากกันมากเท่านั้น บางทีเรื่องเกิดอยู่ใกล้ ๆ บ้านก็ยังไม่รู้
 

ผู้เขียนไม่ใช่นักต่อต้านความเจริญ เป็นเพียงแต่เสียดายบรรยากาศเก่า ๆ ที่เคยมีความผูกพันและมีกลิ่นไอของชุมชนที่อบอุ่น เปี่ยมล้นไปด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน ที่ต้องเสียไปให้กับความเจริญ ก็เลยเขียนมาเล่าสู่กันฟังเพราะว่าชาวบ้านคงไม่สามารถกลับไปเป็นอย่างเดิมได้อีกแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่กลับไม่ถูกธรรมดาแต่เกือบหาทางกลับไม่ได้ทีเดียว

 

หรือว่าผู้อ่านท่านใดเห็นแนวทางที่จะพาชาวบ้านกลับไปอยู่ที่เดิมได้ ช่วยบอกทีเพราะไม่ใช่เพียงชาวบ้านเท่านั้นที่กลับไปเป็นอย่างเดิมไม่ได้ แม้แต่ผู้เขียนเองก็ไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้เช่นกัน