Skip to main content

The Skeleton key : แล้วความเชื่อก็เอาชนะทุกสิ่ง

คอลัมน์/ชุมชน

 


 







ภาพจาก www.thezreview.co.uk/ posters/s/skeletonkeythe.htm


เฮ้อ!! ได้มีโอกาสไปนั่ง  "ฮันนีมูนซีท" ดูหนังกะเค้าทั้งที  ไม่คิดเลยว่า หนังเบิกโรงต้อนรับประสบการณ์เก้าอี้นวมชวนฝันของฉันเรื่องนี้กลับเป็นหนังเขย่าขวัญไปซะนี่


 


 


The Skeleton key เป็นหนังเข้าใหม่ที่ถึงจะไม่แกะกล่องแต่ก็ยังหาดูได้ตามโรงหนังทั่วไป โดยเอห์เรน ครูเกอร์ และเอียน ซอฟท์ลีย์ ผู้เขียนบทและผู้กำกับที่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง  หลังจากเคยจับมือกันสร้าง The Ring Two หนังที่ไม่สามารถกระตุกต่อมคนขวัญอ่อนได้เท่าไรนัก แต่การกลับมาคราวนี้ ขอบอกว่า ฝีมือถึงกึ๋นขึ้นเยอะค่ะ


 


 


 


เคท ฮัทสัน รับบทเป็น แคโรไลน์ ผู้ช่วยพยาบาลที่เกิดอาการรับไม่ได้กับการดำเนินงานแบบเอาเงินเข้าว่าของโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่จึงตัดสินใจลาออก และงานใหม่ที่เธอได้รับก็คือการเป็นพยาบาลพิเศษให้กับ เบน เดอเวอโรซ์ ชายชราที่ป่วยเป็นอัมพาต โดยเธอจะต้องพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่อบอวลไปด้วยความลึกลับทั้งตัวคฤหาสน์และตัวเจ้าของบ้าน ซึ่งก็คือ ผู้ว่าจ้างเธอ ไวโอเล็ต ภรรยา ของเบนนั่นเอง


 


ภายในคฤหาสน์หลังนี้ แคโรไลน์ได้เจอกับสิ่งของแปลกๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมฮูดู  (ในเรื่องบอกว่า ฮูดู คือ มนต์ดำ หรืออาคมชั่วร้ายที่อาจทำให้ผู้ต้องมนต์ถึงตายเลยทีเดียว)  ซึ่งเธอสันนิษฐานว่า เรื่องราวที่ยากจะทำความเข้าใจได้นั้น น่าจะเป็นที่มาที่ทำให้เบนเป็นอัมพาต  และผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุดก็คือ ไวโอเล็ต ภรรยาของเบนนั่นเอง เมื่อแคโรไลน์เชื่ออย่างนั้น เธอจึงพยายามสืบหาความจริงและตั้งใจจะพาเบนออกจากคฤหาสน์หลังนั้น


 


แต่น่าเสียดายที่สิ่งที่เธอเชื่อก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอเชื่อ  หลายอย่างที่ควรจะเป็นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ควรจะเป็น บทสรุปของหนังเรื่องนี้ผู้เขียนจึงไม่สามารถเฉลยได้ ณ ที่นี้ ก็ด้วยเหตุผลเดียวคือ อยากให้คุณ "อึ้ง"หลังจากที่ดูหนังจบอย่างที่ฉัน "อึ้ง" กับ "มัน" มาแล้ว


 


สิ่งที่ตัวละครของหนังแทบทุกตัวพูดถึงอยู่เสมอก็คือเรื่องของ "ความเชื่อ" โดยหนังพิสูจน์ให้ผู้ชมเห็นผ่านทางตัวละครหลัก แคโรไลน์  ซึ่งก็เพราะความเชื่อที่มีต่อมนต์ดำฮูดูทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นแคโรไลน์คนเดิมได้อีก ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธว่า เธอไม่เชื่อในมนต์ดำนั้นเมื่อรู้ว่า มันสามารถทำลายเธอได้ แต่กว่าจะไม่เชื่อก็สายเกินไปเสียแล้ว


 


ส่วนตัวฉันเอง ก็มีความคิดโดยพื้นฐานอยู่เหมือนกันว่า ความเชื่อนั้นมีพลังวิเศษ เป็นพลังที่สามารถผลักดันเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย  และในขณะเดียวกัน ความไม่เชื่อก็มีพลังวิเศษเช่นกันคือสามารถผลักดันเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก


 


อย่างเช่นว่า ถ้าเรามีความเชื่อโดยพื้นฐานว่า ถ้าได้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะเริ่มทำการใดๆ แล้วการนั้นจะสำเร็จลุล่วง ผู้เขียนว่า การนั้นก็น่าจะสำเร็จลุล่วงไปแล้วกว่า 30 %  เพราะความเชื่อที่เรามีต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นกำลังใจให้เรามีพลังซุกไว้ในกระเป๋าบ้างแล้ว  เมื่อถึงคราวต้องลงมือทำจริงๆ ก็แค่ออกแรงสมอง แรงกาย และแรงอดทนอีกสักหน่อย การนั้นๆ ของเราก็น่าจะสำเร็จได้โดยไม่ยาก


 


ตรงกันข้าม  ถ้าเราไม่เชื่อว่าเราทำได้  ต่อให้พยายามให้ตาย ถ้าแรงกาย แรงใจไม่มี  พลังของความไม่เชื่อ ก็จะส่งผลให้เราไม่มีกำลังใจ เหมือนกับเราเริ่มต้นทำในสิ่งใดๆ ที่มีค่าความมั่นใจติดลบมาตั้งแต่ต้น เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว  กว่าเราจะบรรลุในสิ่งที่เราอยากให้มี อยากให้เกิดกับตัวเราได้ก็คงยาก หรืออาจจะไม่มีวันนั้นเลยก็ได้


 


ความเชื่อเป็นสิ่งที่น่าใส่ใจ แล้วก็น่าหามาเก็บไว้ผสมผสานกับกำลังใจเอาไว้หล่อเลี้ยงตัวเองอยู่เสมอ  


 


เพราะไม่ว่าเราจะเชื่ออย่างไร  หรือไม่ว่าผลของความเชื่อจะออกหัวหรือออกก้อย แต่อย่างน้อย  ความเชื่อก็ผลักดันให้เราได้เริ่มทำอะไรหลายๆ อย่างที่เราอยากทำ  ซึ่งแน่นอนว่า ต้องดีกว่าไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หรือไม่ได้เริ่มทำเสียที เพียงเพราะเราไม่เชื่อว่า เราจะจัดการกับมันได้